ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
บทความในประเทศ
ชะตากรรม ‘รุ้ง ปนัสยา’
กับบทบาท ‘แอมเนสตี้ฯ’
จดหมาย ‘เขียน เปลี่ยน โลก’
‘ดร.เสกสกล’ ไม่พอใจสิ่งนี้
สถานการณ์ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองมาถึงจุดที่แกนนำราษฎรและแนวร่วม
เผชิญข้อกล่าวหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อเนื่อง
ทั้งนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน ทนายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน
ทั้งหมดถูกดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ส่งเข้าคุมขังในเรือนจำ ไม่ได้รับสิทธิออกมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมอย่างที่ควรจะเป็น
เพนกวิน-ไผ่ ถูกจองจำในคุกนานเกิน 100 วันแล้วจากการคุมขังรอบใหม่
ล่าสุดถึงคิวของ “รุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์
เมื่อศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดสอบคำให้การเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
จากกรณีระหว่างวันที่ 18-20 ธันวาคม 2563 ได้โพสต์ข้อความลงเพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และเฟซบุ๊กส่วนตัว เชิญชวนประชาชนร่วมกิจกรรมสวมชุดครอปท็อป เดินห้างสยามพารากอน
ศาลพิจารณามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นพิจารณาคดี ด้วยเหตุผลว่า หลังจำเลยถูกฟ้องคดีนี้แล้วได้เคยทำความผิดตามลักษณะเดียวกับที่ถูกฟ้องอีก เกรงถ้าปล่อยไปจะไปกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันอีก จึงให้ยกคำร้อง
คำสั่งดังกล่าวทำให้รุ้งต้องกลับเข้าไปใช้ชีวิตในทัณฑสถานหญิงกลางอีกครั้ง
การเดินหน้าเอาผิดแกนนำราษฎรด้วยมาตรา 112 ยังดำเนินต่อเนื่อง
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ศาลอาญา รัชดาฯ นัดอ่านคำสั่งตามที่อัยการยื่นคำร้องขอเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวรุ้ง ปนัสยา, ไมค์ ภาณุพงศ์ และนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะบอตทอมบลูส์
คดีความผิดตามมาตรา 112 กรณีชุมนุมปักหมุดสนามหลวง 19-20 กันยายน 2563
แอมมี่เดินทางมาฟังคำสั่งศาลตามนัด ขณะที่รุ้งถูกเบิกตัวจากทัณฑสถานหญิงกลางมายังศาล ส่วนไมค์ฟังคำสั่งผ่านระบบจอภาพทางไกลจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ศาลพิเคราะห์แล้วที่ประชุมผู้บริหารศาลอาญาเห็นว่า ในทางไต่สวน น.ส.ปนัสยาประกาศเชิญชวนให้ออกมาชุมนุมแต่งกายชุดดำวันที่ 28 กรกฎาคม 2564 เป็นการกระทำให้เสื่อมเสียแก่สถาบัน ผิดเงื่อนไขคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณา
จึงให้เพิกถอนคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของ น.ส.ปนัสยาและออกหมายขังในคดี
ส่วนนายภาณุพงศ์และนายไชยอมร แม้ฟังได้ว่าร่วมชุมนุมด้วย แต่ไม่มีพฤติกรรมร้ายแรงจนถึงขนาดที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว
แต่เห็นสมควรกำชับนายไชยอมรให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่ศาลกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด พร้อมกำชับผู้กำกับดูแลให้เข้มงวดมากขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวอันจะก่อให้เกิดความเสียหาย จึงเห็นควรกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติม โดยห้ามมิให้ออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 16.00-05.00 น. เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเพื่อการรักษาพยาบาล หรือเหตุอื่นเมื่อได้รับอนุญาตจากศาล
พร้อมให้ติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ให้ถอนประกันและขังไว้ในคดีนี้
สำหรับนายภาณุพงศ์ หากได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในคดีอื่น ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเช่นเดียวกับนายไชยอมร
ก่อนศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวนายภาณุพงศ์ และนายไชยอมร
ต่อมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 ศาลอาญา รัชดาฯ มีคำสั่งที่นายภาณุพงศ์ จาดนอก ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
กรณีระหว่างวันที่ 8 พฤศจิกายน ถึง 7 ธันวาคม 2563 ได้โพสต์ข้อความลักษณะหมิ่นสถาบัน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่ไม่ปล่อยชั่วคราวเรื่อยมาเพราะเกรงจะก่อเหตุร้ายอีก กรณีที่เห็นว่าจำเลยถูกขังมานานพอสมควร จนรู้สึกระมัดระวังตัวต่อการจะก่อเหตุร้ายแล้ว
จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลย อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว
โดยกำหนดเงื่อนไข 1.ห้ามกระทำการเสื่อมเสียต่อสถาบัน 2.อยู่ในเคหสถานตลอดเวลา 3.ติดกำไลอีเอ็ม 4.ให้ตั้งผู้กำกับดูแล
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไมค์จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในคดีนี้ แต่ยังถูกหมายขังในสำนวนอื่นของศาลอาญาอีกไม่ต่ำกว่า 3 สำนวน
ทำให้ต้องถูกคุมขังต่อไปตามหมายอื่น
บทบาทการเคลื่อนไหวและการต่อสู้ของรุ้ง ปนัสยา ทั้งบนเวทีปราศรัยและในกระบวนการยุติธรรม เป็นบทพิสูจน์ชัดถึงความแข็งแกร่ง
แม้ต้องไร้อิสรภาพ ถูกจองจำ แต่การยืนหยัดต่อสู้เพื่อไปให้จุดหมายที่วางไว้ไม่เคยสั่นคลอน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.คนเสื้อแดง และแกนนำเครือข่ายขับไล่ประยุทธ์ หรือ อ.ห.ต. โพสต์เฟซบุ๊กมองผ่านบทบาทการเคลื่อนไหวของรุ้ง ปนัสยา ต่อการออกมาเรียกร้องว่า
“จากการได้พูดคุยกับรุ้ง ปนัสยา ผมไม่เห็นความก้าวร้าวในตัวเด็กสาวคนนี้ รุ้งเป็นคนอ่อนหวานและน่าจะอ่อนไหวบางเวลา”
การต่อสู้ของรุ้ง ทั้งบนเวที ในกระบวนการยุติธรรมและช่วงเวลากดดันต่างๆ โดยเฉพาะภาพของรุ้งนอนให้เจ้าหน้าที่อุ้มตัวไป
รวมถึงรุ้งให้สัมภาษณ์คู่กับพี่สาวใจ ทำให้รู้สึกจุก เพราะรุ้งเป็นน้องเล็กของบ้าน เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน
รุ้งมีฝันมีพลังของตัวเองและมีความมุ่งมั่นที่จะทำตามฝัน ทั่วโลกมีคนหนุ่ม-สาวเหล่านี้ แต่ประเทศนี้นอกจากไม่รับฟังแล้วยังจับขังและบังคับให้ดับฝัน
การต่อสู้ของเด็กๆ อยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก
แต่การรักษาอำนาจของผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกครั้งที่ก่อการอยุติธรรมย่อมมีค่าใช้จ่าย สำหรับผู้มีอำนาจคือความเสียหาย
“ที่ผมได้ยินมาคือน้องๆ อาจถูกขังยาว ถ้าเป็นจริงจะไม่เกิดผลดีกับใครฝ่ายใดเลย ยืนยันวิธีการแบบนี้แก้ปัญหาไม่จบ ขังได้ก็แค่ตัวไม่กี่คน แต่ความคิดคนอีกทั่วประเทศจะเอาอะไรขังไว้”
ตั้งหลักกันใหม่ดีๆ เงื่อนไขแบบแอมมี่ หรือจะเพิ่มอะไรอีกบ้าง ถือว่าพบกันครึ่งทางดีกว่าหรือไม่
“นายกฯ ควรคิดเอาเด็กออกจากคุกบ้าง นี่ไม่ใช่เรื่องล้มล้างใดๆ แต่ผมสงสารเด็ก ไม่อยากให้พวกเขาล้มลง ทั้งที่ยังมีศักยภาพนำพาสังคมได้อีกไกล ปล่อยเด็กออกจากคุกเถอะ” นายณัฐวุฒิระบุ
สถานการณ์แกนนำกลุ่มราษฎรและม็อบคนรุ่นใหม่ที่ต้องเผชิญกับการรุกไล่เอาผิดอย่างไม่เป็นธรรมจากฝ่ายรัฐและผู้มีอำนาจ
ทำให้องค์กรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสมาชิกอยู่ทั่วโลก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ต้องออกมาร่วมปกป้อง
ที่ผ่านมาบทบาทของแอมเนสตี้ฯ ทำหน้าที่รณรงค์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในหลายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนและความไม่เป็นธรรมในสังคม
นั่นทำให้อีกมุมหนึ่งแอมเนสตี้ฯ ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล
กรณีแกนนำราษฎรและการชุมนุมเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา ประชาชนคนรุ่นใหม่
ในสายตาของฝ่ายอำนาจ แอมเนสตี้ฯ ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ฯลฯ ซึ่งถูกกล่าวอ้างเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสนับสนุนชี้นำการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษา คนรุ่นใหม่
ล่าสุดจากกรณี น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย และทั่วโลก เปิดตัว Write for Rights แคมเปญเพื่อการ “เขียน เปลี่ยน โลก”
ด้วยการเชิญชวนผู้สนับสนุนจากทั่วทุกมุมโลก เขียนจดหมายหลายล้านฉบับให้กับผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง
นอกจากส่งข้อความเพื่อให้กำลังใจผู้ถูกละเมิดสิทธิ ยังเขียนจดหมายถึงผู้มีอำนาจเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนและนำความยุติธรรมมาสู่ผู้ได้รับผลกระทบ
ปีนี้เคสของ “รุ้ง ปนัสยา” จากประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญนี้ด้วย
แน่นอนว่าแคมเปญนี้ของแอมเนสตี้ฯ ย่อมนำมาซึ่งความไม่สบอารมณ์ของฝ่ายอำนาจในไทย
เห็นได้ชัดจากการตอบโต้ของนายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือ ดร.เสกสกล หรือแรมโบ้อีสาน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ด้วยการเตรียมจัดแคมเปญรวบรวมคนไทย 1 ล้านรายชื่อ เสนอขับไล่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ไม่ให้แทรกแซงประเทศไทย
นายเสกสกลกล่าวด้วยว่า องค์กรแอมเนสตี้ฯ อุปโลกน์ตัวเองเป็นองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำเข้าข่ายสนับสนุนกลุ่มบุคคลละเมิดอำนาจศาลและประชาชนส่วนใหญ่
“ถึงเวลาหรือยังที่ประเทศไทยและคนไทยควรพิจารณาขับไล่องค์กรแห่งนี้พ้นผืนแผ่นดินไทย เหมือนหลายๆ ประเทศ เพราะการเคลื่อนไหวเป็นการทำลายประเทศอย่างต่อเนื่อง” นายเสกสกลกล่าว
จากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่เพียงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คนอื่นๆ อีกมากมายก็ได้ยินมาเช่นกัน
ว่านักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่เหล่านี้อาจถูก “ขังยาว” ในระหว่างการต่อสู้คดีชั้นศาล เนื่องจากทุกครั้งที่มีการยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวชั่วคราว ก็จะไม่ได้รับอนุญาต หรือยกคำร้อง ด้วยเหตุผลว่าไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม
การรณรงค์ “เขียน เปลี่ยน โลก” ของแอมเนสตี้ฯ ผ่านจดหมายนับล้านฉบับ จึงเป็นวิธีหนึ่งในการสื่อข้อความไปทั่วโลก ว่าประชาชนพร้อมจะยืนหยัดต่อสู้กับการใช้อำนาจอย่างมิชอบ
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดก็ตาม