เผยแพร่ |
---|
มีความพยายามจะ”เสี้ยม”ให้เกิดการปะทะและขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล
“เสี้ยม”ให้เห็นถึงการชิงคะแนนจาก”ฐาน”มวลชน
ด้วยการชี้ให้เห็นว่าวิถีแห่งการเลือกตั้งผ่านระบบบัตร 2 ใบ 400 คนในระบบเขต และ 100 คนในระบบบัญชีรายชื่อ คือการดับอนาคตของพรรคก้าวไกล
เพราะนี่ย่อมเป็นโอกาสให้กับพรรคเพื่อไทยซึ่งมีรากฐานแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องยาวนาน จากยุคของพรรคไทยรักไทย ยุคของพรรคพลังประชาชนมายังพรรคเพื่อไทย
โดยมองข้ามสภาพความเป็นจริงที่พรรคก้าวไกลมิได้ดำรงอยู่ และดำเนินไปอย่างว่างโหว่งเลื่อนลอย เพราะพรรคก้าวไกลมีรากฐานมาจากพรรคอนาคตใหม่
จุดแข็งของพรรคเพื่อไทยคือคะแนนนิยมมวลชนในวงกว้าง
เป็นวงกว้างในขอบเขตทั่วประเทศ ขณะที่เส้นทางของพรรคก้าวไกลคือคนรุ่นใหม่ซึ่งกำลังเติบใหญ่และขยายตัว
พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจึงมีความเป็นมิตรที่ใกล้ชิดกัน
พลันที่พรรคเพื่อไทยประกาศท่าทีต่อการนำเอาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 มาใช้เป็น ”เครื่องมือ” ทางการเมือง ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ยิ่งทำให้วิถีในการเคลื่อนไหวทางการเมืองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลลดระยะห่างลงมาเป็นอย่างมาก
และเนื่องจากพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้รับเลือกเข้ามาด้วยจำนวนมากที่สุด การแสดงท่าทีต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 จึงมีผลสะเทือนสูงยิ่งในทางการเมือง
โอกาสที่อีกฝ่ายจะกดข่มต่อการเสนอให้มีการพิจารณามาตรา 112 และ 116 อย่างที่เคยกระทำต่อพรรคก้าวไกลก็จะต้องเปลี่ยน
จำเป็นต้อง”เปิดกว้าง”และสร้าง”พื้นที่”ขึ้นมามากขึ้น
ท่าทีของพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจึงมิได้อยู่ที่การอยู่ตรงข้าม กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตรงที่มีรากฐานมาจากการรัฐประหารและไม่เป็นประชาธิปไตย
หากยังเชื่อมร้อยกันจากท่าทีต่อมาตรา 112 และ 116
นั่นก็คือ การผนึกและประสานพลังเพื่อกำหนดกรอบให้กับมาตรา 112 และมาตรา 116 อย่างมีลักษณะ”กัมมันตะ”
นี่คือรูปธรรมแห่งการเป็นพันธมิตรพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล