สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร/มิอาจเป็นตัวของตัวเอง

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

————————–

มิอาจเป็นตัวของตัวเอง

————————–

ป.ผู้พี่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กล่าวไว้อย่างที่พี่น้อง 3ป. ฟังแล้ว คงจะซาบซึ้งใจว่า

“ผมกอดคอกับนายกฯ สนิทสนมกันมา 50 กว่าปี จำไว้ ให้ตายจากกัน เรา 3 ป.ถึงจะเลิกรักกัน”

ขณะที่ป.ผู้น้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงขนาดใช้เวทีสภากลาโหม ย้ำต่อหน้าผู้นำเหล่าทัพ ที่ว่ากันว่าเป็นเสาค้ำยันของพี่น้อง 3ป. ถึง ความรัก ในหมู่พี่น้องเช่นกันว่า

“ผมกับพี่ป้อมไม่มีอะไรกันเลย ยังรักกันเสมอ ยืนยันไม่มีขัดแย้ง”

ทั้งนี้ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิช โฆษกกระทรวงกลาโหม มาย้ำให้ชัดเจนและหนักแน่นขึ้นว่า พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ยังเป็นหนึ่งเดียว และเป็นพี่น้องที่เหนียวแน่น

“นายกฯ เน้นย้ำกับกองทัพว่า ไม่ได้มีปัญหากัน” โฆษกกลาโหม ระบุ

ประสานเสียงตอกย้ำ”รัก”กันขนาดนี้

แต่ทำไมกระแสพี่น้อง 3 ป. แตกแยก-แตกหักกัน จึงดังสะท้านไม่หยุดหย่อน

ภาวะเช่นนี้ ทำให้นึกถึงสำนวนในนิยายจีนกำลังภายในขึ้นมา

“ผู้คนในยุทธจักร คล้ายดั่งจอกแหนในกระแสน้ำ ใบไม้แห้งกลางสายลม มิอาจเป็นตัวของตัวเองได้”

และต้องถามด้วยสำนวนเดียวกันต่อไป ว่า

แล้วพวกท่าน(พี่น้อง 3 ป.)เล่า เป็นคนในยุทธจักรหรือไม่ ?

ถ้าใช่ แล้วพวกท่านเป็นตัวของตัวเองหรือไม่ ?

มีหลายเหตุปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องที่ทำให้พวกท่านไม่อาจตัดสินใจได้เอง ใช่หรือไม่ ?

แม้จะไม่ใช่ 3 ป. แต่สมมุติว่าเป็น ลองตอบคำถามนี้ดู

แล้วจะเข้าใจ ว่าทำไมเมื่อย้ำแล้วย้ำอีกว่ารักกัน แต่คนอื่นกลับไม่เชื่อ

การมิอาจเป็นตัวของตัวเองได้นั่นเอง

และถูกเหตุปัจจัยรอบข้าง บีบให้ต้องปะทะขัดแย้งกัน โดยไม่อาจหลีกเลี่ยง

อย่างการลงตรวจงาน ของ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร ซึ่งว่าไปแล้วควรเป็นเรื่องดี

แบบ “แยกกันเดิน” เพื่อที่จะ”รวมกันตี” อย่างมีพลังในวันข้างหน้า

แต่ ก็เพราะมีเหตุปัจจัยตกค้าง จากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่นำไปสู่การปลดเลขาธิการพรรคจากรัฐมนตรี

ทำให้เลขาฯพรรค ที่เคยสวมหมวกสองใบ

ใบหนึ่งทำงานตอบสนองนายกฯในฐานะรัฐมนตรี

ใบหนึ่งทำงานตอบสนองหัวหน้าพรรค ในฐานะแม่บ้านพรรค

เหลือหมวกใบเดียวคือเลขาฯพรรค

ทำให้ระยะหลังสิ่งที่คนข้างนอกได้ยินตลอด ก็คือคำยืนยันของเลขาฯพรรคว่าจะทำงานตอบสนองงานเฉพาะหัวหน้าพรรคเท่านั้น

และผลของการยืนยันนั้น ก็เห็นได้ชัดเจนจากการลงพื้นที่ของ2ป. ที่บอกว่ามองอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการช่วยกันทำงาน

แต่กระนั้น ก็ได้เกิดปรากฏการณ์ จำนวน ส.ส. ที่แห่ไปต้อนรับหัวหน้าพรรคภายใต้การประสานงานของเลขาฯพรรค มีเหนือกว่า จำนวนส.ส.ที่ไปต้อนรับนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจเพราะขาดคนประสานงาน

นำไปสู่การวิเคราะห์ เปรียบเทียบว่าใครมีพลังมากกว่ากัน

และถูกมองว่าเป็นการแยกกันเดิน รวมตีกันเอง เสียมากกว่า

ลบน้ำหนักคำว่าไม่มีปัญหาต่อกันหรือรักกันลงไป

ซึ่งก็ด้วยเพราะเหตุปัจจัยรอบข้างมันบังคับให้เป็นเช่นนั้น

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียว และปัญหาแบบนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับมีสิทธิขยายใหญ่ได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้ยังไม่รวมเงื่อนไขที่ว่าทะเลาะกันจริงนะ ซึ่งนั่น ยิ่งพร้อมจะแตกหักได้ง่ายๆ

ดังนั้น ที่บอกว่า “รักกันๆๆ”แต่เอาเข้าจริง

อาจทำให้ต้องเลิกรัก และเป็นศัตรูกันในที่สุด

โดยเฉพาะเมื่อมีเงื่อนไข เรื่องการช่วงชิงอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง

จนมิอาจมิอาจเป็นตัวของตัวเองได้ นั่นเอง!