#ม็อบ19กันยา : ประมวลรำลึก 15 ปี รัฐประหาร 49 จัด “ขับรถยนต์ชนรถถัง” สู่ประกาศลั่น “เรายังสู้”

วันที่ 19 กันยายน 2564 ถือบรรจบครบรอบ 15 ปี ของเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทยที่เชื่อกันว่าคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตการเมืองที่กินเวลากว่าทศวรรษในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ อันนำไปสู่การเมืองสีเสื้อ จนถึงรัฐประหาร 2557 รัฐบาล คสช.เพื่อกระชับอำนาจในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัชสมัย การเมืองรัฐสภาแบบฉบับคสช. และการก่อตัวของฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ปีนี้ก็มีการจัดการรำลึกเฉกเช่นทุกปีและทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลา 11.40 น. บริเวณแยกอโศกซึ่งเป็นจุดรวมพลตามที่ผู้จัดงานคาร์ม็อบอย่างณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงมาถึงก่อนและเริ่มปักหลักเพื่อรอการสมทบจากผู้ร่วมการชุมนุมแบบคาร์ม็อบในเวลา 14.00 น.

จากนั้นเวลา 12.00 น. ผู้ร่วมการชุมนุมขับขี่ยานพาหนะแบบต่างๆมาปักหลักตรงแยกอโศกช่วงถนนอโศกมนตรีมุ่งไปยังแยกคลองเตย และทยอยมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมียานพาหนะตั้งแต่รถจักรยานยนต์ รถยนต์ส่วนบุคคลหลายคัน โดยติดป้ายข้อความวิพากษ์วิจารณ์จนถึงด่าทอรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ติดธงที่มีทั้งสีแดงและสีดำ สกรีนตัวหนังสือ “ราษฎร” “3 ขีดแทนสัญลักษณ์สามนิ้ว”

“รถยนต์ชนรถถัง” รำลึกคนกล้า “นวมทอง ไพรวัลย์”

งานรำลึกปีนี้ จัดภายใต้ธีม “ขับรถยนต์ชนรถถัง” #15ปีแล้วนะไอ้สั* เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของ นายนวมทอง ไพรวัลย์ อดีตพนักงานการไฟฟ้า ผู้ขับแท็กซี่ชนรถถังเพื่อประท้วงการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549, ต่อต้านการรัฐประหาร และเน้นย้ำว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 – 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงการสืบทอดอำนาจโดย รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องเดียวกัน สังคมไทยตกอยู่ใต้ ‘บทละครอัปยศนี้’ เป็นเวลา 15 ปี

เวลา 14.10 น. นายสมบัติ หรือ บก.ลายจุด ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงจุดประสงค์ของการชุมนุมในวันนี้ว่า การทำรัฐประหาร ทั้ง 2 เหตุการณ์ 19 กันยายน 2549 และ 22 พฤษภาคม 2557 รุนแรงขนาดที่คนหนุ่มสาว คิดอ่านจะย้ายประเทศ ได้เห็นทั้งผู้นำ รัฐธรรมนูญ และกระบวนการที่บิดเบี้ยว เห็นการออกมาของคนหนุ่มสาวมากเป็นประวัติการณ์ เห็นความมืดมนของประเทศ

“รัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง ถ้าตาไม่บอด หูหนวก จะเห็นว่า เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของประขาชนเอง ที่ไปเชียร์รัฐประหาร ดังนั้น เราจะต้องไม่ผิดพลาดแบบนั้นอีก” นายสมบัติกล่าว

เมื่อถามว่า หากนากยกฯ อยู่ครบวาระ ประเทศจะเป็นอย่างไรต่อไป ?

นายสมบัติเปิดเผยว่า เป็นได้ ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ครบวาระ เพราะอำนาจมีธรรมชาติอยู่อย่าง เหมือนยาเสพติด เอาเป็นว่า ต่อให้ประยุทธ์อยู่ในอำนาจต่อ ประเทศก็ถอยตามความสามารถ แต่ต่อให้มี 250 ส.ว. ประชาชนจะแสดงเจตจำนงชัดเจนกว่าที่ผ่านมา โอกาสเกิดอีก เป็นไปได้ยาก และตนเชื่อว่า จะไม่มี พล.อ.ประยุทธ์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า การไล่ประยุทธ์ได้ ตนคิดว่า จะเกิดจาก ทั้งในและนอกสภา ไล่แบบไม่เลิกรา

“ประการที่ 2 เราเห็นรอยกรีดแตกของพรรคร่วมรัฐบาล ช่วงรอยแตกนั้น ถ้าชัดเจนกว่านี้ แมประยุทธ์ไม่อยากยุบสภา ลงจากอำนาจ ก็ ‘ยาก’ ที่จะอยู่ได้” นายสมบัติกล่าว และว่า ในวันนี้ จะมีการทำกิจกรรม ขับรถยนต์ชนรถถัง

ต่อมา เวลา 14.21 น. รถถังจำลองขนาดใหญ่ ถูกเคลื่อนย้ายเข้ามาวางกลางแยก ท่ามกลางผู้ชุมนุมกรูเข้าไปบันทึกภาพ และช่วยกันพยุงลงมาจากรถบรรทุก โดยมีการ์ดวีโว่ คอยดูแลความปลอดภัย

ต่อจากนั้นเวลา 14.35 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนยังเชื่อว่าจะมีประชาชนเพิ่มมากขึ้น ตราบใดที่ประชาชนยังไม่ยอมแพ้ เราก็ยังยืนหยัด นี่ไม่ใช่การต่อสู้ครั้งสุดท้าย เราไม่ได้ขีดเส้น ขอเพียงประชาชนไม่ยอมแพ้

ต่อมาเวลา 14.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าอ่านประกาศข้อกฎหมาย กับนายณัฐวุฒิ โดยนายณัฐวุฒิยืนยันว่า เป็นสิทธิอันชอบธรรมในการออกมาชุมนุม มีรัฐธรรมนูญคุ้มครอง

นายณัฐวุฒิกล่าวบนเวทีว่า ขอให้พี่น้องมองไปตลอดทาง จะมีเรื่องราวขับไล่ประยุทธ์ไปโดยตลอด เรามาที่นี่ เพื่อจะบอกประยุทธ์  จันทร์โอชา ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าคุณจะใหญ่แค่ไหน แต่หัวใจประชาชนใหญ่กว่า

วันนี้ ครบรอบ 15 ปี รัฐประหาร เราสู้ เรายังอยู่ เพื่อให้พี่น้องเราที่ถูกจับ อุ้มหาย ลี้ภัย ได้รู้ว่าหัวใจนี้ยังสู้อยู่ให้รู้ว่าเรายังมีกันและกัน คุณไม่ได้อยู่เดียวดาย” นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า ขึ้นชื่อว่ารัฐประหาร คือโจรปล้นอำนาจเท่านั้น ไม่ใช่ อย่างอื่น

“มีเรือดำน้ำเป็นอาหาร มีชาวบ้านเป็นศัตรู มีคู่ต่อสู้เป็นเยาวชน เราจะไม่ยินยอมอยู่ภายใต้อำนาจนี้ แม้ประกาศตัวเป็นรัฐบาล แต่คุณไม่เคยได้การยอมรับจากประชาชน ส่งเสียงออกไปให้เผด็จการได้รู้ ว่าเสียงคนเล็กๆ เมื่อรวมตัว ก็เสียงดัง”

โดยประชาชนส่งเสียงโห่ พร้อมบีบแตรดังสนั่น

จากนั้น ณัฐวุฒิกล่าวถึงนายนวมทอง พร้อมถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า จำเขาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ จะขับรถยนต์ชนรถถังให้ดู ให้เผด็จการได้รู้ เมื่อวันข้างหน้า ชัยชนะเป็นของประชาขน รถถังที่ยึดอำนาจ จะเป็นเพียงเศษเหล็กในประวัติศาสตร์ หาได้ยิ่งใหญ่เหมือนนวมทอง ไพรวัลย์ ‘ไม่’ เราไม่ได้มารบกับทหาร เรามารบกับประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวกเท่านั้น” นายณัฐวุฒิกล่าว

ต่อมาเวลา 14.50 น. นายณัฐวุฒิสวมเสื้อคนขับแท็กซี่ ปักชื่อ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เพื่อสวมจิตวิญญาณของนายนวมทอง ไพรวัลย์ ผู้ชุมนุมส่งเสียงเฮกระหึ่ม

ก่อนลงจากเวที ขึ้นรถแท็กซี่ ขับพุ่งชนรถถัง เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถกระบะอีกคัน ขับนำขบวนออกจากแยกอโศก ขณะที่ประชาชน รุมสหบาทาซากรถถัง

จากนั้นขบวนคาร์ม็อบเริ่มเคลื่อนตามเส้นทาง ไม่นานฝนได้เทกระหน่ำอย่างหนัก ทำให้มีบางช่วงการเดินทางเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะฝนตกหนักจนทำให้บดบังทัศนะวิสัย และทำให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ไม่สามารถเดินทางได้ ได้แต่รอใต้สะพานข้าม สะพานลอย เพื่อหลบฝน

เมื่อเวลา 15.37 น.ขบวนเคลื่อนอย่างช้าๆ มุ่งหน้าแยกคลองเตย กระทั่งเวลา 15.40 น. ฝนเทลงมาอย่างหนัก ผู้ชุมนุมที่ใช้รถจักรยานยนต์ ต่างหลบที่ทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ขณะที่ผู้ชุมนุมที่ใช้รถยนต์ ยังคงเคลื่อนขบวนต่อไป

เวลา 16.05 น. ขบวนคาร์ม็อบเคลื่อนผ่านแยกคลองเตย มุ่งหน้า ถ.สาธรใต้ โดยมีการ์ดวีโว่คอยโบกรถเป็นระยะๆ ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปรายไม่ขาดสาย

ในช่วงเวลาเดียวกันที่แยกท่าพระ ขบวนคาร์ม็อบเดินทางมาถึง โดยมีรถกลุ่มวีโว่ปิดท้าย ทั้งนี้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งมารอรับ คาดว่าเป็นสมาชิก ‘ราษฎรฝั่งธน’ ทั้งนี้ มีเสียงดังคล้ายระเบิดดังขึ้น 1 ครั้ง ยังไม่ทราบที่มาแน่ชัด

เวลา 16.25 น. ที่แยกสาทร- นราธิวาส ขบวนขับจาก ถ.วิทยุ เลี้ยวขวาเข้า ถ.พระราม 3 ท่ามกลางผู้ชุมนุมที่ใช้รถจักรยานยนต์ จอดหลบฝนใต้สะพาน พร้อมชู 3 นิ้ว โบงธง #ไล่ประยุทธ์ ส่งกำลังใจ มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเฝ้าสังเกตการณ์ใต้สะพาน

นอกจากนี้ บนสกายวอล์กช่องนนทรี มีการห้อยป้าย ใบหน้า พล.อ.ประยุทธ์ และข้อความขับไล่อีกด้วย
ก่อนขึ้นรถจักรยานยนต์ ขี่ออกไปในเวลา 16.20 น. พร้อมบีบแตรส่งสัญญาณ มุ่งหน้าสะพานกรุงเทพ

เวลา 16.33 น . ที่แยกจันทร์-นราธิวาส ผู้ชุมนุมบีบแตรสนั่น รอไฟเขียว พร้อมโยกย้ายร่างกายตามจังหวะแตร ด้านการ์ดวีโว่ ขอให้ชิดเลนซ้ายเนื่องจากเลนขวาน้ำขัง

ต่อมา เวลา 16.36 น. ก่อนถึงสะพานกรุงเทพ มีประชาชนส่งเสียงเฮ ชู 3 นิ้ว ไปจนถึงพนักงาน กทม. ที่เกาะท้ายรถเก็บขยะ ร่วมชู 3 นิ้ว มีป้ายข้อความแขวนบนสะพานลอยเป็นระยะ สื่อสารถึงตำรวจ คฝ.ว่า “ได้เบี้ยเลี้ยงหรือยัง”, “เชียร์ 2 พส. แต่ 3 ป. ออกไปได้แล้ว” ไปจนถึง “บริหารล้มเหลว เท่ากับเซลล์ในสมอง”

แยกท่าพระ

 

จากนั้นขบวนได้เคลื่อนข้ามสะพานกรุงเทพฯเข้าสู่ฝั่งธนบุรี เวลา 16.56 น. ท้ายขบวนคาร์ม็อบอยู่บน ‘สะพานกรุงเทพ’ โดยช่วงก่อนขึ้นสะพานมีป้ายข้อความแขวนบนสะพานลอยเป็นระยะๆ สื่อสารถึงตำรวจ คฝ.ว่า “ได้เบี้ยเลี้ยงหรือยัง”, “เชียร์ 2 พส. แต่ 3 ป.ออกไปได้แล้ว” ไปจนถึง “บริหารล้มเหลว ตามจำนวนเซลล์ในสมอง”

สำหรับบรรยากาศที่แยกท่าพระ ซึ่งหัวขบวนมาถึงตั้งแต่เวลา 16.04 น. ล่าสุด เมื่อเวลา 16.50 น. ยังคงมีกลุ่มผู้ชุมนุมคาร์ม็อบทยอยเคลื่อนตัวผ่านแยกท่าพระมุ่งหน้าไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่อง

เวลา 17.02 น. ที่แยกตลาดพลู มีพ่อค้าแม่ขาย ไปจนถึง รปภ.คอนโดมิเนียม ที่อาศัยย่านตลาดพลู ร่วมชู 3 นิ้วคับคั่ง โดยผู้ร่วมชุมนุมชู 3 นิ้วตอบกลับ และบีบแตร

โดยเฉพาะย่านตลาดพลูและแยกท่าพระมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมรถกระบะประจำการเป็นจำนวนมากกว่าทุกจุด

นอกจากนี้มีป้ายข้อความขึงบนสะพานลอยย่านตลาดพลู ความว่า “บริหารห่วย ความซวยตกที่ประชาชน”

เวลา 17.13 น. ยังคงมีกลุ่มผู้ชุมนุมคาร์ม็อบเคลื่อนตัวผ่านแยกท่าพระอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นเคลื่อนต่อบนถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตธนบุรี มีการเปิด “บทเพลงของสามัญชน” ท่อนหนึ่ง ขณะเคลื่อนขบวนกลางสายฝน ความว่า

“เส้นทางที่เดิน อาจมองดูไม่สวยงาม นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และเราจะไม่ยอมแพ้”

เวลา 17.15 น. ที่แยกไฟฉาย การจราจรค่อนข้างติดขัด ผู้ชุมนุมบางส่วนเปิดเพลงรักคนเสื้อแดง โยกย้ายตามจังหวะบนรถ ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นเปิดเพลงแร็พต้านเผด็จการของวง R.A.D.

เวลา 17.18 น. ประชาชนที่อาศัยในซอยวัดเพลงร่วมชู 3 นิ้วขณะจับจ่ายอาหาร

เวลา 17.20 น. ขบวนเคลื่อนถึงแยกอรุณอมรินทร์ ก่อนข้ามสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า พร้อมเร่งเครื่อง บีบแตร จากนั้นมุ่งหน้าไปยังจุดสิ้นสุดคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

แยกท่าพระ
สะพานลอยก่อนถึงสะพานกรุงเทพ
สะพานกรุงเทพ

เวลา 17.25 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีการนำผ้าดำขนาดใหญ่คลุมมิดพานแว่นฟ้า พร้อมติดภาพใบหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีข้อความประกาศจับ “wanted รัฐประหารคือกบฏ” และ “เผด็จการจงพินาศ ประชาราษฎร์จงเจริญ”

ผู้ชุมนุมบางส่วนพักผ่อน ดื่มน้ำที่มีผู้นำมาแจก มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีแดง พร้อมสวมหน้ากาก ด้านนายโชคดี ร่มพฤกษ์ ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร กล่าวท่อนหนึ่งขับไล่ “ประยุทธ์ออกไป”

สำหรับบรรยากาศบนถนนจรัญสนิทวงศ์ เมื่อเวลา 17.31 น. ยังคงมีการเคลื่อนตัวของขบวนคาร์ม็อบอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งการบีบแตรและโบกธงสัญลักษณ์กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

ผู้ชุมนุมบางส่วนพักผ่อน ดื่มน้ำที่มีผู้ขนมมาแจก มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดสีแดง พร้อมสวมหน้ากาก ด้าน นายโชคดี ร่มพฤกษ์ ศิลปินเพลงเพื่อราษฎร ท่อนหนึ่งกล่าวขับไล่ “ประยุทธ์ออกไป”

เวลา 17.30 น. นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า 15 ปี แห่งความเจ็บปวด ล้าหลัง ประเทศพัง แต่เผด็จการยังไม่พอใจ การต่อสู้ก็จะยังอยู่ ด้านหลังของเรา กลุ่มทะลุฟ้ากำลังจะสร้างงานประติมากรรม (คลุมผ้าดำ)

จากนั้น นายณัฐวุฒิ ทำการขับขาน 1 บทเพลง เนื้อหากล่าวถึงความเหน็ดเหนื่อยในการต่อสู้ ท่อนหนึ่งความว่า

“จะกอดคอเธอไปถึงเส้นชัย จะกอดคอไปทุกเส้นทาง เพื่อวันทองฟ้าสีทองที่ฝัน ขอแค่เราสู้กัน”

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทำไมประชาชนจะเต้นเยาะเย้ยเผด็จการไมได้ จากนั้น นายณัฐวุฒิโยกย้ายส่ายสะโพก โดยผู้ชุมนุมต่างปรบมือ ส่งเสียงเฮ และบันทึกภาพ

“เพลงเมื่อสักครู่ ชื่อเพลง ‘กันและกัน’ แต่งเมื่อคราวติดคุก ปี 53 แต่หลังจากนี้ ทุกเพลงที่จะแต่ง ไม่จำเป็นต้องแต่งในเรือนจำอีกแล้ว เพราะชัยชนะจะเป็นของประชาชน เราออกมาเพื่อพิสูจน์ให้เผด็จการได้เห็นว่า เขายังไม่ชนะ และเรายังยอมแพ้ มีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน” นายณัฐวุฒิกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในตอนหนึ่ง นายณัฐวุฒิ ตะโกนว่า ‘ได้ยินไหมลุงนวมทอง ได้ยินเสียงเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไหม?’  จากนั้น ชวนให้ผู้ชุมนุมร่วมกันโห่ร้องส่งเสียงถึงดวงวิญญาณ นวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่ต้านรัฐประหาร ยืนฟังปราศรัยของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โดยมีฉากหลังคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถูกคลุมผ้าดำจากพานแว่นฟ้าจรดฐาน

เวลา 17.38. นายสมบัติ กล่าวว่า เมื่อปี 49 ตนยืนอยู่ตรงนี้ มาจาก ม.ธรรมศาสตร์ แช่มชื่นที่อย่างน้อย ยังมีประชาชนร่วมต่อสู้ ไม่เอาเผด็จการในเวลานั้น หลายคนมองว่า การยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ เป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น ซึ่งก็มีการโต้เถียงว่า ถูกต้องหรือไม่

“ผมขอทบทวน การขอให้ทหารมายึดอำนาจ ขอให้ประชาชนทบทวนว่า 15 ปีมานี้ ทักษิณยังอยู่หรือไม่ แต่การต่อต้านรัฐประหารยังคงอยู่ ประชาธิปไตยยังคงเรียกร้องพร้อมความตื่นตัวของประชาชน

การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งสำคัญมาก เพราะคือการเปิดประตู ให้ทหารเข้าสู่ระบบการเมืองไทย จนวันนี้ นายกสืบทอดอำนาจมาจนปัจจุบัน นี่คือความล้มเหลวของสังคม” นายสมบัติกล่าว

โดยผู้ชุมนุมส่งเสียง “ออกไป”

นายสมบัติกล่าวต่อว่า ถ้ารัฐประหารดี ต้องจับต้องได้ แต่ 15 ปี ที่เราใช้วิธีการนี้แก้ไขความขัดแย้ง กลับเป็นวิธีให้ประเทศไทยถอยหลัง และวิบัติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าเราไม่ตาบอด หูหนวก ที่สำคัญ ปัญญาไม่ดับ เราย่อมต้องถอดบทเรียนได้ว่า การกระทำเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ได้สืบเนื่องมาจนวันนี้ ใครที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร คาดหวังว่า จะได้บทเรียน และไม่ออกมาสนับสนุนอีก หากเกิดวิกฤตในประเทศ ขอให้มีความอดทน แก้ปัญหาด้วยวิถีประชาธิปไตย คือบทเรียนที่อยากฝาก ถึงทุกคนในสังคมไทย” นายสมบัติกล่าว

เวลา 17.42 น. นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า 15 ปี ที่ผ่านมา ต้องแลกอะไรมาบ้าง ก่อนประยุทธ์จะขึ้นนั่งเก้าอี้นายก 15 ปี มีการยึดอำนาจ 2 ครั้ง บอดคอตการเลือกตั้ง 2 หน ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ใส่ร้ายประชาชน สนับสนุนขบวนยึดสนามบิน ขัดขวางการเลือกตั้ง กระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐาน มีการจับกุม ไล่ล่า อุ้มหาย ลี้ภัย ทั้งหลายเพื่อให้ประยุทธ์ได้เป็นนายกในวันนี้ นี่คือความอัปยศที่สุดในแผ่นดิน

ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ มีความรู้สึกเดียวกันคือ ‘ประยุทธ์ออกไป” เราไม่มีอะไร จะประกาศศักดานุภาพ เท่ากับเสียงของประชาชน เสียงตะโกนก้องด้วยความเจ็บปวด” นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า

ทุกถ้อยประกาศ ทุกตัวบทกฎหมาย และคำสั่งของเผด็จการ หาใช่บทบัญญัติที้ชอบด้วยหลักนิติธรรม ที่จะทำให้ประชาชนเคารพได้ เอะอะบอกให้ประชาชนเคารพกฎหมาย พวกคุณฉีกกฎหมายสุงสุด และนิรโทษกรรมตัวเอง ในประเทศไทย ไม่มีใครกลุ่มไหน ปฏิเสธ และย่ำยีการมีอยู่ของกฎหมาย เท่าประยุทธ์อีกแล้ว

นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า แก้โควิดผิดพลาด ถ้าเราจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ชาวบ้านยังตายไม่เสร็จ ก็คิดนิรโทษกรรมตัวเองแล้ว ดังนั้น ในวาระอันสำคัญ ครบรอบ รัฐประหาร 15 ปี ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลายเป็น ‘ศาลาคนเศร้า’ ของคนรักประชาธิปไตย เจ็บปวด ถูกฆ่าตาย ก็ตรงนี้ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอาจไม่มีคนจำนวนมากอยู่ทุกวัน แต่จิตวิญญาณประชาชนอยู่ที่นี่ทุกวัน ชั่วนาตาปี

“ผมอยากจะบอก ไปยังฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าจนถึงวันนี้ พวกคุณยังไม่สำนึก ไม่รู้ว่า ได้นำพาประเทศถอยหลัง พินาศ วอดวายเพียงใด เพราะบรรดากองเชียร์ รัฐประหารและอุ้มสม เราไม่ติดใจในทางส่วนตัว แต่ในทางการเมือง ฉิบหายมา 15 ปี ประชาชนคนไหนยังเชียร์ประยุทธ์ ถือว่าเราขาดกันตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทางใคร ทางมัน ประเทศเดียวกัน สองความคิด และชัยชนะจะต้องเป็นของฝ่ายประชาธิปไตย ที่มั่นใจเช่นนี้ เพราะถ้าแพ้ แพ้ไปนานแล้ว ตั้งแต่ 14-16 ตุลา , พฤษภาคม 35, ปี 53 หรือครั้งคนหนุ่มสาวถูกจับกุมคุมขัง แต่แท้จริง เราต่างหากที่สะสมชัยชนะ และเขา สั่งสมความพ่ายแพ้อยู่ทุกวัน” นายณัฐวุฒิกล่าว จากนั้น กล่าวถึงประชาธิปไตย ที่ถูกคลุมถุงดำโดยเผด็จการมาเป็นเวลา 15 ปี

“เรามีกิจกรรมากมาย เสียดายฝนตก แต่เห็นไหม ฝนไม่ตกตลอดกาล เผด็จการก็ย่อมไม่อยู่ตลอดไป เมื่อฝนซา ท้องฟ้าก็ใส เผด็จการมาได้ ก็ไปได้ ที่อยู่อมตะนิรันดร์กาล คือประชาชน ไม่ว่าฤดูกาลใด ก็ยังมีประชาชน ไม่ว่าเผด็จการไหนเข้ามา ก็ย่อมต้องเจอภัยประชาชน เพราถประเทศเป็นของประชาชน

โปรดติดตามการเคลื่อนไหวต่อไป พูดตรงๆ เราพยายามทดสอบแนวทางเคลื่อนไหว ได้ข้อสรุปว่า ภายใต้สถานการณ์โควิด ‘คาร์ม็อบ’ ตอบโจทยที่สุด การต่อสู้ทางการเมือง ต้องยืนบนความจริงด้านสถานการณ์ ไม่เช่นนั้นรังแต่จะอ่อนแอ เสียหาย จึงขอให้ได้หารือถอดบทเรียนครั้งนี้ เพื่อหาทางต่อสู้ครั้งต่อไปในไม่ช้านี้

ธงที่แจกวันนี้ จอให้เก็บไว้ เป็นสัญญาใจ เพื่อร่วมกันชูธงประชาธิปไตย เผด็จการเลวร้ายกว่าขยะเปียกทุกกอง

วันนี้เราตั้งชื่องานว่า คารม็อบ ‘ขับรถยนต์ชนรถถัง’ ผมใส่เครื่องแบบแท็กซี่ รำลึกความอาจหาญของลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ไม่ได้ใหญ่โต และอาจไม่มีคนในสังคมไทย-สังคมโลกได้รู้จัก แต่ชายผู้นี้ตัวเล็ก หัวใจยิ่งใหญ่กว่าผู้กุมอำนาจในรัฐบาล รถถังที่ใช้ยึด อำนาจ เป็นเพียงเศษเหล็กเท่านั้น เมื่อเทียบกัยแท็กซี่ ลุงนวมทอง ผู้ประกาศตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ยังไม่กล้าขับรถถังออกมาเอง หวังใจว่าหากดวงวิญาณลุงนวมทองได้ยิน คงรับรู้” นายณัฐวุฒิกล่าว

จากนั้น ผู้ชุมนุมส่งเสียงแสดงพลังของประชาชน ก่อนร่วมชู 3 นิ้วโบกสะบัดธง ร้องเพลง “เราคือเพื่อนกัน” ของวงสามัญชน และยุติกิจกรรมในเวลา 18.05 น.

นายณัฐวุฒิ กล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกครั้งว่า ยุติการชุมนุมคาร์ม็อบ ‘ขับรถยนต์ ชนรถถัง’ แล้ว