เผยแพร่ |
---|
“องอาจ” ชี้รัฐควรแยก FAKE NEWS กับ FACT NEWS ให้ออก ต้องระวังการใช้อำนาจเกินขอบเขต
31 ก.ค.2564 นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกำหนดฉบับที่ 27 และ 29 ที่ออกตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉิน มาตรา 9 ที่อาจปิดกั้นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนว่า เมื่อพิจารณาดูเนื้อหาสาระของข้อกำหนดดังกล่าว พบว่า เป็นการให้อำนาจหน้าที่รัฐกว้างขวางมากจนอาจนำไปสู่การใช้อำนาจเกินขอบเขต ใช้อำนาจโดยมิชอบ และอาจใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือเพื่อประโยชน์ของคนในรัฐบาล
โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ระบุไม่ให้เผยแพร่ “ข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว” ประโยคนี้เจ้าหน้าที่รัฐสามารถตีความได้กว้างขวางมาก อาจนำไปสู่การกล่าวหาว่ากระทำความผิดได้โดยง่าย
เพราะฉะนั้นการออกมาเรียกร้องให้ทบทวนข้อกำหนดนี้ของ 6 องค์กรสื่อจึงไม่ใช่เรื่องการเคลื่อนไหวเกินกว่าเหตุ ไม่ใช่เป็นการตีตนไปก่อนไข้ แต่เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลที่อาจเกิดขึ้นได้ และอาจส่งผลกระทบถึงสิทธิ เสรีภาพของการทำงานของสื่อมวลชน และอาจกระทบต่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชน
หลังการออกมาเคลื่อนไหวของ 6 องค์กรสื่อ ภาครัฐอธิบายความว่า ข้อกำหนดฉบับที่ 27 และ 29 มีจุดประสงค์จะจัดการกับ “ข่าวปลอม” (FAKE NEWS) เป็นหลัก ไม่ได้ปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชนแต่อย่างใด
แต่การออกข้อกำหนดที่ทำให้ตีความเพื่อใช้อำนาจได้กว้างขวางเช่นนี้ย่อมอาจส่งผลต่อคนทำงานตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน
ภาครัฐต้องแยกแยะระหว่าง “ข่าวปลอม” (FAKE NEWS) กับ “ข่าวจริง” (FACT NEWS) ให้ออกว่าคนทำข่าวปลอมเท่าที่จับดำเนินคดีตามกฎหมายที่ผ่านมามักเป็นคนที่มีจุดมุ่งหมายทำลายล้าง บั่นทอนความน่าเชื่อถือทางการเมือง เพื่อผลประโยชน์มิชอบ ขณะที่คนทำ “ข่าวจริง” (FACT NEWS) คือ คนข่าว สื่อมวลชนอาชีพส่วนมากที่ทำงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพ เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นบนพื้นฐานของความเป็นจริง ภายใต้กรอบของกฎหมาย
อย่างไรก็ดีถ้ามีสื่อมวลชนคนใดเสนอข่าวที่ไม่จริง ก็มีกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นๆ ที่พร้อมจะเล่นงานได้อยู่แล้ว
จึงขอเสนอภาครัฐรีบทบทวนข้อกำหนดนี้อย่างจริงจัง พร้อมกับแยกให้ออกระหว่าง “ข่าวปลอม” (FAKE NEWS) กับ “ข่าวจริง” (FACT NEWS) ว่าควรดำเนินการอย่างไรให้เกิดความพอดีที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับการทำงานของสื่อมวลชนโดยสุจริต และไม่ปิดกั้นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญที่สุด ภาครัฐต้องพึงระมัดระวัง อย่าให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตจากข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินนี้เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้มีอำนาจรัฐ เพราะอำนาจที่ใช้โดยไม่ถูกต้องจะเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทำลายก่อให้เกิดความเสียหายจนยากที่จะแก้ไขได้โดยไม่จำเป็น
การใช้อำนาจบนความพอดีน่าจะมีประโยชน์มากกว่าในการร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนเพื่อฝ่าฟันปัญหาวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยกัน อันจะเป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองโดยรวม
////