‘วิโรจน์’ จี้รัฐ รุกตรวจ-สร้างศูนย์คอย-จ่ายยาเร็ว หลังเอกสารว่อน ติดโควิดสูงกว่า 6 เท่า

“วิโรจน์” จี้รัฐ เร่งตรวจเชิงรุก-สร้างศูนย์พักคอย-จ่ายยาให้เร็ว หลังมีเอกสารกรมควบคุมโรคว่อนอินเทอร์เน็ต เผยตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงอาจสูงกว่านี้ 6 เท่า

วันที่ 29 ก.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเอกสารหลุดและเผยแพร่ทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ตจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ รวมทั้งการติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ว่า สถานการณ์การระบาดในปัจจุบันถือว่าลุกลามและรุนแรงมาก ต่อให้ประสิทธิภาพการล็อกดาวน์สูงถึง 25% และยอมล็อกดาวน์นานถึง 2 เดือน

ก็ยังประเมินว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน น่าจะยังขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 25,000 รายต่อวัน โดยมีผู้เสียชีวิตสูงสุดอยู่ที่ 350 คนต่อวัน ในขณะที่หากการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพเพียง 20% และสามารถล็อกดาวน์ได้เพียง 1 เดือน ก็ประเมินกันว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน อาจจะขยับไปแตะถึง 35,000 รายต่อวัน โดยมีผู้เสียชีวิตสูงสุดเกือบวันละ 500 ราย

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตให้อยู่ในระดับไม่เกิน 200 คนต่อวันได้ นอกจากการล็อกดาวน์ คือ การเร่งฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพกับกลุ่มผู้สูงอายุ ภายใน 1-2 เดือน สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการในตอนนี้ คือ การใช้การทูตในการขอความช่วยเหลือจากประเทศต่างๆ ที่สำรองวัคซีนไว้มากกว่าศักยภาพในการฉีด ในการบริจาควัคซีนหรือขอให้ส่งวัคซีนที่มีอยู่เกินและเข้าใกล้วันหมดอายุมาให้เราได้ฉีดก่อน แล้วเมื่อวัคซีนที่เราสั่งซื้อมาถึง เราจะนำไปส่งมอบคืน

“ที่น่ากังวลที่สุด คือ กองระบาดวิทยาได้คาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยสีเขียวที่มีอยู่จริง น่าจะมีจำนวนเป็น 6 เท่าของผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวที่เข้าถึงการรักษา นั่นหมายถึง มีผู้ป่วยสีเขียวที่ยังไม่ได้รับการรักษา หรืออาจจะยังไม่รู้ตัวว่าติดโควิด-19 และยังคงดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันตามปกติ สูงถึง 337,505 คน ซึ่งทำให้การแพร่ระบาดยังคงขยายตัวอย่างรุนแรงต่อเนื่อง” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลือง มีการประเมินกันว่าจำนวนที่มีอยู่จริง น่าจะมีจำนวนเป็น 3 เท่าของผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลืองที่เข้าถึงการรักษา ซึ่งผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลืองที่เข้าไม่ถึงการรักษาก็มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ป่วยในกลุ่มสีแดง และมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิต นั่นหมายความว่า ประชาชนที่มีความเสี่ยงที่จะต้องเสียชีวิตคาบ้าน หรือเสียชีวิตกลางถนน เพราะเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาลนั้นมีมากถึง 171,874 คน

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ขอย้ำว่าสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการระหว่างที่รอคอยวัคซีน คือ การประคับประคองสถานการณ์ เพื่อจำกัดวงในการระบาดให้แคบลง ตัดวงจรการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์ตามคำสั่งแพทย์ให้เร็วที่สุด ซึ่งมาตรการที่ตนนำเสนอมาโดยตลอด ได้แก่ 1.เพิ่มการตรวจเชิงรุก ให้ประชาชนมีสิทธิเบิกแรพิด แอนติเจน เทสต์เพื่อตรวจตนเองฟรีทุกสัปดาห์ สามารถซื้อเพื่อตรวจตนเองเพิ่มเติมได้ในราคาถูก ซึ่งไม่ควรจะเกินชุดละ 50 บาท โดยให้รัฐอุดหนุน เพื่อให้ราคาขายปลีกปรับลดลงมา

2.เร่งสร้างศูนย์พักคอยเพื่อติดตามอาการที่รองรับได้ถึง 150,00-200,000 คน ให้ครอบคลุมทุกแขวงเขต เพื่อรองรับผู้ป่วยสีเขียวที่มีข้อจำกัดไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้ โดยกระจายอำนาจให้ กทม. และกลุ่มอาสาสมัครต่างๆ ในการดูแลผู้ป่วยสีเขียว ทั้งการช่วยลงทะเบียน การรับยาจากแพทย์มาส่งต่อให้ผู้ป่วย การติดตามอาการ

และการส่งผู้ป่วยที่อาการหนักขึ้นไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลลดภาระในการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มสีเขียวลง และจะได้โฟกัสกับกลุ่มผู้ป่วยในกลุ่มสีเหลืองและสีแดงให้มีประสิทธิภาพการรักษาที่เพิ่มขึ้น โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า เมื่อผู้ป่วยเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง ศูนย์พักคอยหรือกลุ่มอาสาสมัครจะต้องสามารถนำผู้ป่วยมาส่งที่โรงพยาบาลได้โดยไม่ถูกปฏิเสธ

“ศบค. ต้องออกคำสั่งโรงพยาบาลทุกแห่งทุกสังกัด เพื่อให้แพทย์สามารถใช้การวินิจฉัย สั่งจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ได้โดยทันที เมื่อผลตรวจแรพิด แอนติเจน เทสต์เป็นบวก และ ศบค. ต้องออกคำสั่งเพื่อลดงานธุรการ งานเอกสาร สำหรับการตรวจวินิจฉัยยืนยัน ที่มีความจำเป็นให้ดำเนินการคู่ขนาน เพื่อให้ผู้ป่วยต้องเข้าถึงยาให้เร็วที่สุดภายใน 4 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ ซึ่งเป็นไปตามแนวเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 64″ นายวิโรจน์ กล่าว