เรื่องสั้น : ศิลปะจัดวาง ‘ความสูญสลาย’ / เออเนสซองส์

 

 

ศิลปะจัดวาง ‘ความสูญสลาย’

 

1

ความเปลี่ยวเหงาถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร พร้อมกับโลกใบนี้รึเปล่า หรือพร้อมจักรวาลนี้ ถ้าพร้อมจักรวาล แปลว่าที่ไหนสักแห่ง ดาวสักดวง ต้องมีใครสักคนรู้สึกเหงาอยู่เหมือนกัน

หัวใจดวงเล็กๆ ของผมถูกตัวเหงากัดกินตั้งแต่สูญเสียแฟนคนที่แล้ว เขาจากไป แต่ตัวเหงายังคงอยู่ เติบโต กัดกินสิ่งที่เต้นตรงหน้าอกข้างซ้ายไปเรื่อยๆ ทุกวัน เวลา นาที วินาที ยังคงเรียกว่าหัวใจได้รึเปล่าไม่รู้ ผมยังนึกสงสัยมันไม่หลับไม่นอนบ้างเหรอ ไม่เหนื่อยไม่พักบ้างเหรอ ผมยังเหนื่อยเลย อยากพัก พักไปจนนิรันดร์

ทุกครั้งปั่นจักรยานออกไปซื้อกับข้าวให้แม่ ผมสังเกตเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งแยกคำว่า ชี ออกจากคำว่า วิต หัวไปทาง ตัวไปทาง หัวอาจติดไปกับรถคันใดคันหนึ่งที่วิ่งผ่านถนนสายนี้พอดี ขณะตัวบี้แบนบนพื้นยางมะตอย จนแทบแกะไม่ออก บางตัวสภาพอาจดีขึ้นมาหน่อยอวัยวะอยู่ครบ แต่เปลี่ยนตำแหน่งราว Installation Art ศิลปะจัดวางความสูญสลาย

ผมเจอทุกวัน บางวันมากถึง 5 ตัว เรียงรายต่างจุดบนเส้นทางความตายเดียวกัน เจ้าพวกนี้มาจากไหนมากมาย มาเพื่อตาย หรือบางตัวรอด ใช้ชีวิตได้ปกติ

ตา 2 ข้าง 6 ขา 2 เขา 4 ปีก แยกเป็นปีกในใสบาง สีน้ำตาลอ่อน 2 ปีก ปีกนอกแข็งน้ำตาลเข้มขึ้นเงาอีก 2 ปีก แต่ประกบแนบชิดกันจนแทบดูไม่รู้ จะเฉลยก็ตอนบินเท่านั้น ผมลอง search ใน google มันคือด้วงกว่าง แต่ให้ชี้เฉพาะแบบนั้นลงไปทีเดียวอาจจะคลาดเคลื่อนได้ ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องแมลง ลึกๆ ในใจแล้วมันอาจไม่ใช่ด้วงกว่าง แต่จะเป็นอะไรได้ล่ะ

ตัวรอดตัวแรกผมเจอนอนหงายหลังกลางถนนในหมู่บ้าน ขาทั้ง 6 ตะเกียกตะกายแหวกอากาศ ผมขี่จักรยานเห็นมันแต่ไกลจึงเบรกทัน แล้วรีบลงไปช่วยชีวิตทันที ไม่เช่นนั้นอาจถูกล้อรถยัดเยียดความตายให้ก็ได้ ผมตั้งชื่อว่า “กลางทาง” ตัวผู้เพราะเขาใหญ่ ตัวเมียไม่มีเขาหรือเล็กมาก ทำไมผมไม่เคยเห็นตัวเมียเลยล่ะ ตัวที่ตายก่อนหน้าทั้งหมดล้วนตัวผู้

จากนั้นไม่ยากที่ผมจะพบตัวถัดมา หน้าบ้านผมเอง นอนหงายใกล้ด่าวดิ้น ผมยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้มันเกาะ เพื่อพลิกตัว จำได้ว่านาฬิกาในมือถือบอกเวลา 05:30 พระมารับบิณฑบาตพอดีเลยนะเจ้า “บุญมา” ตัวที่ 3 เจอในบ้านตรงโรงจอดรถ แต่มันไม่นอนหงายหลัง กลับนอนคว่ำ นิ่งจนผมคิดว่าสิ้นชีพเสียแล้ว ขณะมันเริ่มขยับตัว ดวงตะวันค่อยๆ ขยับขึ้นจากขอบฟ้า พร้อมแสงอันน้อยนิด คล้ายส้มยังไม่สุกดี

ค่อยๆ สาดส่องร่างจากล่างขึ้นบน “ฟ้าส่ง” ฟ้าตั้งชื่อนี้ให้ ตัวที่ 4 นี่กล้ามาก กล้าเข้ามาอยู่ในบ้าน ยืนนิ่งหนักแน่นบนบันไดขึ้นชั้น 2 มันเจ๋งเกินกว่าผมจะตั้งชื่อโง่ๆ ให้ ฉะนั้น “บันได” คือชื่อที่ฉลาดและเหมาะสมกับมันที่สุดแล้ว

ตัวที่รอดทั้งหมด ผมเอาไปปล่อยไว้ใต้ต้นลำไย เพราะดูจากในยูทูบมันชอบกินผลไม้รสหวาน ทั้งอ้อย กล้วยหอม บางทีก็แอบเอาแอปเปิลแดงในถาดอาหารซึ่งแม่เพิ่งลาจากพระพุทธมาผ่าครึ่ง วางลงโคนต้น มันก็กินอยู่ดี เศษซากหลังกัดกินขรุขระสูงชันราวหน้าผาบนดาวสักดวง

 

2

คล้ายฝันกลางวัน จู่ๆ ภาพหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาในหัว มือข้างขวาใหญ่มากของชายคนหนึ่งโบกทักทาย แต่ที่น่าตกใจ มือข้างนั้นไร้ผิวหนังห่อหุ้ม เหมือนถูกถลกออกไปหมด เหลือเพียงกระดูกสว่างเจิดจ้าราวหลอดไฟ ไม่มีเส้นเอ็น ไม่มีเลือด ไม่มีน้ำเหลือง ไม่มีอะไรเลยที่มนุษย์ควรจะมี

เขาจ้องผมในระยะประชิด ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่งาม คือดวงตาของพระเจ้า หรือใครกันแน่ หน้าตาพระเจ้าเป็นเช่นไรผมยังไม่เคยเห็น แค่รู้สึกว่าดวงตาทรงอำนาจ มีทั้งพลังรุนแรง และเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง พร้อมพรั่งความรัก เมตตา และหื่นกระหายอยู่ในที ลึกลงไปเห็นกระแสธารน้ำแข็งไหลวนโดยรอบดุจมหาสมุทร รูม่านตาคล้ายหลุมดำ ถ้าเขาจะดูดดึงผมเข้าไปในนั้นคงทำได้ง่ายดาย แต่เขาเลือกสะกด จดจ้องจนอยู่หมัด เมื่อผมจ้องกลับตัวแข็งค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ยินเสียงรอบข้างใดๆ อีก มีเพียงเสียงเดียวที่พุ่งเข้ามา ราวลูกธนูหมายเจาะทะลุหัวใจเหยื่อ กวางตัวน้อยๆ เยี่ยงผม

“ผมชอบคุณ” ปากปิดดวงตาพูดแทน เขามองผมมานานแล้วจากที่อันแสนไกล ผมยืนนิ่งราวประติมากรรมน้ำแข็ง คนโดยรอบคงมองเป็น Happening Art เพราะอยู่ในซอยแสดงศิลปะพอดี

จนชายคนหนึ่งโยนเหรียญสิบมากระทบรองเท้าแตะตราดาวเทียม ความรู้สึกตัวกลับคืนมา ชายตาสีฟ้าพลันหายวับ แรกๆ ผมเรียกอาการนี้ว่า ปรากฏกายน้ำแข็ง เขาจะโผล่มาเฉพาะตอนกลางวัน-กลางคืน แต่ในฝันไม่เคยมา บางครั้งเกิดขึ้นขณะผมนั่งกินข้าวกลางวันกับแม่บนโต๊ะอาหาร จู่ๆ ตัวแข็งทื่อ มือขวาถือช้อนคาปากที่กำลังอ้ากว้าง ตาจ้องอะไรบางอย่างโดยไม่กะพริบ แม่เอามือทาบอกมองดูราว 5 นาที ผมคงไม่ได้อำเล่นแน่ จึงรีบเดินเข้ามาเขย่าตัวแรงๆ จนกลับเป็นปกติอีกครั้ง ท่านกังวลมาก บอกให้ไปหาหมอ ไม่เคยเจอใครอาการนี้ พยายามถามรายละเอียด ลูกจ้องอะไรอยู่

ผมเลี่ยงที่จะเล่าให้ฟัง เพราะไม่ว่าใครได้ยิน ต้องหาว่าบ้าแน่ๆ ยิ่งเป็นแม่คงจับส่งโรงพยาบาลจิตเวชแทบไม่ทัน

 

3

ผมเริ่มจับจุดได้ว่าวันที่ผมเจอด้วงกว่างตอนเช้า เขาจะส่งสัญญาณมาถึง นั่นหมายความว่าด้วงกว่างคือตัวกลางระหว่างเราทั้งคู่

“ทำงานอะไร” เหมือนเขาถามไปอย่างนั้นเองพอเป็นพิธี ในเมื่อจับตาดูผมตลอด ทำไมจะไม่รู้

“ชอบช้อปปิ้งมั้ย” น้ำเสียงตื่นเต้นกระตุ้นเร้า

“ไม่ชอบ” ผมตอบตรงแต่อาจไม่ตรงกับสิ่งที่เขาต้องการได้ยิน

“คุณล่ะ” ผมถามกลับไม่ใช่โดยมารยาท แต่อยากรู้บ้าง

“ชอบมากโดยเฉพาะเสื้อผ้า” เขาอารมณ์ดีขึ้น ยิ้มเห็นฟันขาวสว่างวาบ

“ผมชอบซื้อหนังสือ” ในน้ำเสียงมีความอวดโอ่และภูมิใจ

“กองเป็นภูเขาพร้อมทลายลงมาทับตายได้เลย” ผมขำ เขาไม่ขำ

“งั้นผมจะให้เงินคุณครั้งละ 1 ก้อน เพื่อเอาไปซื้อหนังสือหรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ”

“ไอ้ 1 ก้อนของคุณมันคืออะไร” ผมถามแบบกวนรยางค์ส่วนล่าง

“หินบนดาวที่ผมอาศัยอยู่ มันมีค่ามหาศาลเลยล่ะในโลกของคุณ” เขาจ้องตาผมนิ่ง ย้ำความเชื่อมั่น

“จะส่งถึงคุณในวันที่ผมต้องการให้คุณทำอะไรบางอย่างจนพอใจ”

“แล้วอะไรล่ะที่คุณพอใจ” ผมโยนหินถามทาง เขาไม่รับซ้ำหัวเราะหึๆ

“คุณต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่” ถามซ้ำ เขานิ่งไป แต่รูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น เผยให้เห็นดาวแดงเดือดลอยอยู่ตรงกลาง เสียงปุ๊ๆ ควันฟุ้งๆ พุ่งออกมาเป็นพักๆ จากรูเล็กๆ กระจัดกระจายทั่วดาว ราวปากปล่องภูเขาไฟพร้อมระเบิดทุกเมื่อ เป็นการระเบิดที่ผมสัมผัสถึงความเย็นยะเยือกไล่จากกระดูกสันหลังไปทั่วทุกเซลล์ประสาท และเซลล์ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เกิดอาการปรากฏกายน้ำแข็งอีกครั้ง เป็นครั้งที่ผมหวาดกลัวสุด

แต่ความรู้สึกสนุก ตื่นเต้น ท้าทาย เข้ามารวมตัวกันกลายเป็นน้ำแข็งก้อนใหม่ฉับพลัน

 

4

งานแรกมาถึง หลังจากพบด้วงนอนแทบไม่กระดิกในห้องนอน มันมาได้ยังไง ประตูปิด แม้ผ้าม่านเปิด แต่ก็มีมุ้งลวดครอบหน้าต่างไว้ รูเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร อยู่มุมซ้ายบนของหน้าต่าง

ด้านที่หันมองออกไปเป็นป่าทึบ หึ ควรตั้งชื่อมันว่าอะไรดี “จอมทะลวง” ประหลาดดีแท้ แต่ไม่เท่ากับมันที่นอนอยู่บนพื้นไม้ขัดเงา ข้างๆ ตะกร้าใส่เสื้อผ้าใช้แล้ว กลิ่นไม่ชวนอภิรมย์

“เก่งนะ บุกเข้าห้องนอนเลยคราวนี้” ประชดประชันให้เขาได้ยิน

“ใครเก่ง” เขาถามอย่างงงๆ

“เปล่านี่” ผมตัดบทให้จบๆ ไป

“ผมต้องการให้คุณทำอะไรบางอย่างตามที่เคยสัญญากันไว้ตอนนี้เลย” เร่งเร้ารัดรึงด้วยน้ำเสียงและดวงตาฟ้างามคู่นั้น

“เอากางเกงในที่ใส่แล้วหนึ่งตัวขึ้นมาสวมหัว สีดำนั่นก็ได้ แล้วนอนยั่วผมบนเตียง ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะบอกให้พอ”

เขาพูดง่ายๆ ราวกับให้ผมหยิบกับข้าวใส่ถุง แล้วไปวางบนโต๊ะอาหาร

“บ้ารึเปล่า ไอ้โรคจิต” ผมจ้องเขาอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“จะเอามั้ยเงินน่ะ ชอบซื้อหนังสือไม่ใช่เหรอ อีกอย่างแม่คุณก็เป็นมะเร็งด้วย” รังสีเสียดเย้ยออกมาทางดวงตา

“อย่ามาแช่งแม่ผมนะ โรคสงบแล้ว และหมอก็เช็กทุกปี” รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที

“มันกำลังจะกลับมาใหม่” ผมไม่ปฏิเสธ มันมีโอกาสเป็นไปได้ แล้วถ้าเป็นจริงขึ้นมาล่ะ ผมจะเอาเงินจากไหนจ่ายค่ารักษาเหมือน 5 ปีก่อน ตอนที่เศรษฐกิจยังดีกว่านี้มาก

“อืมมมม ทำไปอย่างนั้นแหละ ดีมาก ไหนลองถอดกางเกงในออกมาให้ผมดมบ้างสิ โอ้ว my baby ผมชอบคุณเหลือเกิน หอมจัง ผมใกล้แล้ว โอ้ยยย” เขาครางอีกชั่วครู่ก่อนเงียบไป ผมเว้นระยะเวลาให้หายใจ

“ไหนเงินล่ะ ผมทำตามที่คุณต้องการแล้วนะ” ทวงถามถึงสิ่งที่ควรได้ แลกกับศักดิ์ศรีและการลดทอนคุณค่าตัวเองลงไป เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินสำหรับเราสองแม่-ลูก อาชีพนักเขียนอย่าว่าแต่สองปาก สองท้องเลย

ปากเดียว ท้องเดียวยังแทบไม่พอ

“ส่งไปแล้ว หินดวงดาว ที่พวกคุณเรียกอุกกาบาต มองไปทางหน้าต่างด้านที่มุ้งลวดเป็นรู หินจะตกลงไปข้างดงป่าตอนกลางคืน แล้วคุณจะชอบมัน” เขาพูดพลางยิ้มอย่างพึงพอใจหลังเสร็จภารกิจ

“ต่อไปนี้คุณต้องเรียกผม my daddy” คำพูดอมชมพู เพ้อเจ้อ

“ได้ ขอให้คุณรักษาสัญญา ให้ทำอะไรก็ยอม”

คืนนั้นแม้มืดสนิทแต่มีแสงสว่างแห่งความหวังมากกว่าคืนไหน มันลอยวาบลงมาจากฟากฟ้าในเสี้ยววินาที คงไม่มีใครเก็บภาพได้ทัน พลันเดินไปข้างดงป่าทั้งต้นมะพร้าวสูงเท่าเปรต มะขามเทศยักษ์ และวัชพืชใบใหญ่รกเรื้อราวป่าดึกดำบรรพ์ ก้อนหินสีแดงระอุชนิด M-type ปรากฏตรงหน้า แต่พอจับขึ้นมากลับเย็นเยียบ เหมือนเขาเตรียมพร้อมอย่างดิบดี ให้หินขนาด 10 x 20 x 15 เซนติเมตร ไม่อาจทำอันตรายมือผมได้ แค่ส่งกลิ่นเหล็กไหม้ไฟ

กลิ่นที่ทำให้ผมคิดถึงเขาไม่ลืม

 

5

“มันคือหินจากดาวอังคารเมื่อ 4,500 ล้านปีก่อน พอๆ กับอายุโลก” บุรุษปริศนาใต้สะพานข้ามแม่น้ำซึ่งห่างจากบ้านผมไปสองกิโลเมตร ตามที่เขาบอกเอาไว้ว่าให้ผมเอาหินมาแลกเป็นเงิน ชายผมยาวหยักศกปรกหน้า ยื่นกระเป๋าเอกสารสีดำใบโตให้ หนึ่งร้อยล้านบาทอัดแน่นอยู่ในนั้น ผมรับไว้โดยเพิ่งจะเห็นว่าชายคนนี้มีเพียงตาเดียว แต่มีสองตาดำบิดเบี้ยวคล้ายไฟบอส และดีมอสดาวบริวารของดาวอังคาร

อันดับแรกผมจะเอาเงินมากมายขนาดนี้ไปไว้ที่ไหนดี ฝากธนาคารเจ้าหน้าที่จะสงสัยหรือเปล่า จู่ๆ มีเงินมหาศาลมาฝาก ทั้งที่ในบัญชีมีเงินติดก้นอยู่แค่พันกว่าบาท อาชีพนักเขียนจะเอาเงินขนาดนี้มาได้ยังไง เขียนจนให้เลือดทั้งกายกลายเป็นน้ำหมึก ปากกาหมดไปพันด้าม ดินสอพันแท่ง กระดาษแสนแผ่น ทั้งชาตินี้และชาติหน้ายังไม่มีน้ำหน้าหาได้เลย

ผมตัดสินใจเอากระเป๋าเอกสารไปไว้ในห้องนอน น่าจะปลอดภัยสุด เพราะสภาพห้องอัดแน่นไปด้วยหนังสือจนแทบไม่มีที่นอน เอาซุกไว้มุมหนึ่ง ปิดบังอำพรางด้วยกองหนังสือเกี่ยวกับคนนอกศาสนาและปรัชญา ยากที่ใครจะสนใจ แม้แต่แม่ยังเมินหน้าหนี ถ้าบังเอิญมีแมวจรเปิดประตูห้องเข้ามา คงได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองว่า เสียเวลาจริงๆ

จากวันนั้นเขาก็โผล่พรวดเข้ามาในหัวผมตามใจชอบ ไม่สนว่าผมทำอะไรอยู่ ว่างมั้ย เขียนหนังสืออยู่หรือเปล่า พูดแต่ประโยคเดิมๆ ว่า ผมต้องการคุณเวลานี้ ไม่มีคำทักทาย เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีมั้ย คุณแม่ยังสบายดีอยู่รึเปล่า เมื่อเช้ากินข้าวกับอะไร หนังแบบไหนที่ชอบดู ฟังเพลงบ้างรึเปล่า แม้กระทั่งชอบอ่านหนังสือแนวไหน หรือเขียนหนังสือเรื่องอะไรอยู่

อันที่จริงลำพังเงินก้อนที่แล้ว ผมกับแม่ก็อยู่อย่างสบายไปทั้งชาติ แต่ผมก็ยอมให้มีครั้งที่สอง สาม สี่ จนไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ที่ไหน หรือซื้อหนังสืออะไรแล้ว หนำซ้ำทุกครั้งวิตถารขึ้นเรื่อยๆ ทำไมผมยังยอมทำ

เขาต้องการผม หรือแท้จริงแล้วผมเองก็ต้องการเขาไม่ต่างกัน

ครั้งที่ 5 เขาไม่สนใจกางเกงใน หรือของพิสดารใดๆ อีก ความต้องการเรียบง่ายมาก เพียงให้ผมเลือกหนังสือขึ้นมาหนึ่งเล่มที่คิดว่าเหมาะกับเขา ผมเลือก Death in Venice ของ Thomas Mann รักข้างเดียวของนักเขียนสูงวัยกับหนุ่มน้อยรูปงามทาจจู ค่อยๆ อ่านให้เขาฟัง ในสภาพเปลือยกายอวดทรวดทรงองค์เอว ไม่อายฟ้าอายดิน เขารับฟังอย่างช้าๆ ราวกับเรือนร่าง เรื่องราว หนังสือ น้ำเสียง คือสิ่งเดียวกัน หลอมรวมกระตุ้นหลั่งความต้องการสุดหยั่ง จนกระทั่งเขาเสร็จ

บุรุษผู้มีนัยน์ตางดงาม แต่มองลึกลงไป ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกนึกคิดจริงๆ ของเขาเลย ที่ต้องการผม มันมีความรักอยู่ในนั้นบ้างรึเปล่า หลังๆ เป็นผมที่เฝ้ารอ มันคืออะไร สิ่งที่เรียกว่าหัวใจค่อยๆ ถูกซ่อมแซมขึ้นมาอีกครั้งในความมืด ตัวเหงาตายไปตอนไหนผมยังไม่รู้

ครั้งที่ 6 เขาทำให้หัวใจที่ซ่อมแซมเสร็จแล้ว กระเด็นออกจากอก

“นี่คืองาน ผมเป็นนายจ้าง คุณเป็นลูกจ้าง ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้” คำพูดเย็นชา เหมือนหยั่งความรู้สึกได้ว่าผมเริ่มรักเขา น้ำตาระรินไหล โดยที่เขาไม่ใส่ใจ

“ผมจะให้คุณทำอย่างหนึ่ง ทำได้มั้ย หินดวงดาวก้อนใหญ่และแพงที่สุดจะตกในมือคุณ” เขาคิดว่าผมคงดีใจจนตัวลอย

“ทำอะไร” ความเฉยชาเข้ามาแทน

“มองไปที่พื้น สิ่งที่คุณเข้าใจว่าเป็นด้วงกว่าง แท้จริงแล้วคือสิ่งมีชีวิตบนดาวผมเอง ส่งเพื่อมาดูคุณ มันคือตัวเชื่อมระหว่างผมกับคุณอย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละ ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะเรียกมันว่าอะไร และไม่จำเป็นที่คุณจะรู้ว่าที่นี่เรียกมันว่าอะไร มันก็แค่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ไม่ต่างจากผม ไม่ต่างจากคุณ เราต่างมีหนึ่งชีวิตเหมือนกันโดยเท่าเทียม” แต่สิ่งที่เขาปฏิบัติกับผมและด้วงกว่างช่างย้อนแย้ง เขาวางตัวเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด คำว่าเท่าเทียมที่หลุดจากปาก เหลือแค่เทียม

ภายในห้องนอนอับอ้าว “เอามันหย่อนลงไปในปากทีละตัว จนครบ 100 ตัว” เขาพูดเหมือนสิ่งธรรมดาสามัญที่ใครๆ ทำกัน เขามันบ้า สิ่งมีชีวิตจากดวงดาวของเขาเข้าปากไปทีละตัวๆ แล้วทะลุออกรูทวารทีละตัวๆ มันเกินกว่าคำว่าทรมาน เจ็บปวดแต่ไม่มีสิทธิ์เปล่งเสียงออกมา เจ้าพวกนั้นอุดปากอย่างต่อเนื่อง ผมดิ้นไปดิ้นมาคล้ายปลาดุกโดนทุบหัว ตั้งแต่ลำคอ ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร กระเพาะ ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไม่มีส่วนไหนไม่เจ็บปวด เหมือนโดนเข็มจิ้มลงไปแล้วดึงขึ้นตลอด แสบซ่านทุกเซลล์

ก่อนที่ผมจะหมดสติ ได้ยินเพียงประโยคเดียวฟังแล้วช่างเหินห่างเหลือเกิน “พอแล้ว”

 

6

กระเป๋าเอกสารสีดำใหญ่กว่าเดิมสองเท่า ขึ้นสนิมจนเปิดไม่ออก

ทุกสิ่งในจักรวาลยังจัดวางตัวเองอยู่ในตำแหน่งเดิม

ยกเว้นก็แต่ชายตาเดียวมีตาดำเพิ่มเป็นสาม