ลับ ลวง หลอก…ไปทุกเรื่อง ตั้งแต่…การเมือง ถึงวัคซีน (จบ)/หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว มุกดา สุวรรณชาติ

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว

มุกดา สุวรรณชาติ

 

ลับ ลวง หลอก…ไปทุกเรื่อง

ตั้งแต่…การเมือง ถึงวัคซีน (จบ)

 

ถ้ามันเป็นปราสาททรายที่ชายหาด เมื่อคลื่นความไม่พอใจของประชาชนพุ่งเข้าหาฝั่ง เราจะเห็นปราสาททรายถล่มก่อนโควิดหายไป

การลวงหลอก 4 ข้อที่ผ่านมาทำให้ได้อำนาจ และมีการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ การบริหารประเทศของรัฐบาล และการใช้กระบวนการยุติธรรม เพียง 2 ปีก็เห็นความล้มเหลว การใช้อำนาจทุกด้านยังเหมือนกับยุคหลังรัฐประหาร บางครั้งหนักกว่า

ถึงวันนี้การพังทลายกำลังเริ่มขึ้นแล้ว เพราะใครๆ ก็มองเห็นการลวงหลอกอีกหลายด้าน

และอีก 4 ข้อต่อไปนี้คือปัจจัยที่จะทำให้รัฐบาลพัง เรียกว่า หลอกจนเจ๊งเอง

 

5.หลอก…จนทำให้รัฐสภากลายเป็นสับปลับสถาน

หลังแต่งตั้งพวกตัวเองมาเป็น ส.ว. 250 คน ให้มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกฯ ก็เหมือนแข่งร้อยเมตรแต่ตัวเองไปออกสตาร์ตที่เส้น 30 เมตร ยังไงคนอื่นก็ไม่มีทางชนะ แถมกรรมการทั้งหมดยังเป็นพวกของตัวเองอีก ใครทำท่าจะวิ่งเก่ง ทำท่าจะแซงก็ถูกจับให้แพ้ฟาวล์

จากนั้นหาทางรวมคะแนนเสียง ส.ส.จนได้เป็นนายกฯ ใช้วิธีนับคะแนน คิดคะแนนปัดเศษ จนสุดท้ายก็ได้เป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ ก็เลยต้องหาวิธีปล้นชิงวิ่งราว ส.ส.พรรคอื่นมาเสริมคะแนนเสียง เปิดการซื้อ-ขาย ย้ายค่าย จากคนกลายเป็นลิง กลายเป็นงู แอบให้กล้วยกันทีละ 10 หวี 20 หวี ทำมันในสภานั่นแหละ แถมยุบพรรคฝ่ายตรงข้าม รัฐสภาเสื่อมลงในฉับพลัน

แม้รัฐบาลชุดนี้ถวายสัตย์ฯ พูดขาดไปหนึ่งบรรทัด ไม่เป็นไปตามกฎหมาย แต่ก็ไม่สนใจเลยว่านี่เป็นการขัดรัฐธรรมนูญ

จากนั้นก็ทำขัดกับมาตรา 162… คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนํามาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันเข้ารับหน้าที่

ถ้าดูในคำแถลงนโยบายต่อสภา ก็ไม่เห็นเขียนตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนด เพราะไม่มีการกล่าวถึงคำสัญญาที่ให้ไว้ตอนหาเสียงเลยว่า นโยบายต่างๆ มีอะไรบ้าง ต้องใช้งบประมาณเท่าไร สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติอย่างไร

และไม่ได้ชี้แจงว่าจะหารายได้จากไหนมาใช้จ่ายในการดําเนินนโยบาย

 

6.เรื่องต่อต้านคอร์รัปชั่นยิ่งกว่าหลอก ทำชั่วไม่กลัวฟ้าดิน

9 ธันวาคม 2562 ป.ป.ช. และ ป.ป.ท.ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ภาคีเครือข่ายภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ร่วมกันจัดงานวันต่อต้านคอร์รัปชั่นสากลโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริต และมอบรางวัลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ที่มีผลคะแนนสูงสุดในแต่ละประเภท รวม 34 หน่วยงาน

ทั้งนี้ ในประเภทของกรมหรือเทียบเท่า ที่มีความโปร่งใสมากที่สุดได้แก่

1. กองทัพบก 97.96 คะแนน

2. กรมที่ดิน 95.99 คะแนน

3. สำนักงานกิจการยุติธรรม 95.76 คะแนน

นอกจากนี้ ในประเภทขององค์กรศาลที่ได้คะแนนสูงสุดคือ ศาลยุติธรรม

การมอบรางวัลครั้งนี้ทำให้เกิดความงุนงงไปทั้งประเทศ ยิ่งกว่าอ่านผลสำรวจซูเปอร์โพล

ทำให้นึกถึงเสาไฟกินรี และเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดและยาเสพติด GT200 ซึ่งมีมูลค่าจริงไม่ถึง 300 บาท แต่มาขายในราคา 500,000-1,000,000 เงินทอนทำให้คนกล้าซื้อของด้อยคุณภาพ

ถ้าจะดูเรื่องความยุติธรรม ดูผลงาน ป.ป.ช. ผลงานศาล ผลงานตำรวจ

ดูคดีภาษีบุหรี่ ภาษีรถยนต์ ค่าโง่ต่างๆ คดียุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง

คดีแป้ง คดียิงกันตายในบ่อนเถื่อน การแพร่เชื้อจากแหล่งอบายมุข ฯลฯ

ถึงวันนี้จึงกล่าวได้ว่าไม่มียุคใดที่การคดโกงทุจริตจะมากเท่ากับยุคนี้ ทุกวงการ ทุกระดับ ทั้งยังมีตัวเลขสูงที่สุด มีผู้ประเมินว่างบประมาณที่มาจัดซื้อจัดจ้าง 2 ล้านล้านจะสูญเสียไปกับการทุจริต 20% คือ 400,000 ล้าน ทั้งยังไปสูญเสียกับโครงการที่สร้างแล้วทิ้งอีกจำนวนมาก

ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจจัดการกับคนที่แต่งตั้งตัวเองมา หรือผู้มีอำนาจมากกว่า คนพวกนั้นจึงกลายเป็นคนไม่เคยทำอะไรผิด ถ้าผิดก็ฟ้องไม่ทัน

 

7.เป้าหมายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นเพียงภาพลวง ทำไม่ได้เลย

รัฐบาลนี้แถลงไว้ในวันแถลงนโยบายว่า มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศไทยให้หลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง มีการดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง แก้ไขปัญหาปากท้องและสร้างรายได้ให้ประชาชนให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

แต่หลังจากนั้น 1 ปี พอปลายปี 2563 พบว่าไทยเป็นแชมป์โลกเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนรวยของไทยเพียง 1% กลับมีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 66.9% …แซงรัสเซียที่ลดจาก 78% เหลือแค่ 57.1% ตุรีที่ 3 อินเดียที่ตกไปเป็นที่ 4 จาก 58.4% เหลือแค่เพียง 51.5% นอกจาก 4 ประเทศนี้ ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกอีกแล้วที่คนรวย 1% มีทรัพย์สินเกินครึ่ง…ส่วนคนไทยที่จนสุด 10% มีทรัพย์สิน 0%

วันที่ 20 ธันวาคม 2562 สถาบันป๋วยฯ พบว่ามีบัญชีผู้ฝากเงินบุคคลธรรมดา 37.9 ล้านคน มีปริมาณเงินฝากรวมทั้งสิ้น 12 ล้านล้านบาท คิดเป็น 72% ของเงินฝากในระบบทั้งหมด คนไทยราว 56.04% มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ แต่มีเงินในบัญชีไม่ถึง 3,142 บาท และยังพบว่าประมาณ 32.8% ของผู้ฝากเงิน หรือ 12.2 ล้านคน มีเงินในบัญชีไม่ถึง 500 บาท ขณะเดียวกันมีเพียง 0.2% ของผู้ฝากเงินในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท

ทีมวิเคราะห์มองว่าปัจจุบันคนจนไม่มีบัญชีที่เป็นเงินออม แต่คงเป็นการเปิดบัญชีเพื่อรับเงินจากสวัสดิการของรัฐ ไม่น้อยกว่า 15 ล้านบัญชี บัญชีคนจนแบบนี้จะมีมากขึ้นอีกในสถานการณ์โควิด-19

…การลดความเหลื่อมล้ำของรัฐบาล คือทำให้จนลงเท่าๆ กัน

การหลุดจากกับดักรายได้ปานกลาง คือหลุดลงไปเป็นรายได้ต่ำ

หนี้ครัวเรือนสูงสุด หนี้ภาครัฐสูงสุด

ตัววัดสุดท้ายคือการฆ่าตัวตายจากปัญหาเศรษฐกิจ สูงที่สุดในทุกรัฐบาล

สรุปว่ารัฐบาลชุดนี้บริหารไม่เป็น และจะทำเราเจ๊งทั้งประเทศ เพราะวิธีการของพวกเขา คือ เอาเงินกู้และภาษีมาแจกคนจน ทีละ 300, 500 แบบนี้มันเหมือนกับการซื้อเสียงล่วงหน้า ทางการเมืองเขาก็เรียกว่าการตกเขียว ที่ไม่ใช้เงินตัวเอง

 

8.การหลอกลวงและหาประโยชน์จากความเจ็บความตายของผู้คน

การเดินเกมการค้าเรื่อง Covid-19 และ vaccine อาจเป็นเรื่องปกติในหมู่พ่อค้า แต่ไม่ควรเกิดกับรัฐบาลที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตคนทั้งประเทศ พอเริ่มต้นหน้ากากก็ขาดแคลน พอจะต้องใช้วัคซีนก็ขาดแคลน ทั้งที่มีเวลาเตรียมตัวเป็นปี เอาเงินภาษี 600 ล้านไปให้โรงงานผลิต แต่ได้วัคซีนไม่พอ ใครค้านนโยบายจำกัดวัคซีน ก็โดนตั้งข้อหา

วัคซีนคือชุดเกราะของหมอและพยาบาลที่กำลังสู้ศึกอยู่แนวหน้า ต้องคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาให้เร็วที่สุด เพราะสงครามโควิดแรงขึ้นทุกวัน เวลาสั่งซื้ออาวุธ เครื่องบิน เรือรบ รถเกราะ ทั้งที่ยังไม่มีสงครามยังทำได้ ถ้าเป็นสงครามจริงตายกันหมด

ถึงเวลานี้ใครๆ จึงสงสัยว่า มันต้องมีผลประโยชน์แฝงอยู่ในการนำวัคซีนเข้าประเทศ บางยี่ห้อจึงเข้ามาง่าย แต่ของดีเข้ามายากมาก

ย่างเข้าปีที่ 90 ของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การใช้กำลังและการหลอกลวงเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อย นำประเทศไปสู่ระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่ง

ได้ทำลายโครงสร้างระบอบประชาธิปไตย

ทำลายกระบวนการยุติธรรม และการตรวจสอบ

ทำให้เกิดการบริหารเพื่อผลประโยชน์และทุจริต

ทำให้เศรษฐกิจโดยรวม ตกต่ำอย่างมาก

คนมีอำนาจไม่กี่คนจะรวยมากขึ้น แต่คนจนมีมากขึ้น หนี้สินมากขึ้น คนชั้นกลางจนลงหรือเจ๊ง

ถ้าไม่พร้อมใจกันยุติระบบนี้ เราจะพากันตายหมด