“ยิ่งชีพ” เผยแย่หนักแน่! ถ้าโควิดเกิดในยุคคสช. แต่ตอนนี้ ประเทศเดินหน้าเพราะประชาชนรุมด่า

วันที่ 6 กรกฎาคม 2564 นายยิ่งชีพ อัชชานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (​iLaw) ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงปรากฎการณ์ของสังคมที่ช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์จนไปถึงตำหนิด่าทอรัฐบาลเมื่อใดที่มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 ว่า

เรียน พี่น้องที่กำลังคิดว่าเรามีรัฐบาลที่ล้มเหลว ส่วนตัวเห็นว่า ประเทศไทยเคยแย่กว่านี้มาก

สมัยปี 2559-2560 จะเรียกว่าช่วงกลางๆ ของยุครัฐบาล คสช. ก็ได้ ไม่มีรัฐสภาจากการเลือกตั้ง ไม่มีฝ่ายค้าน มีแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่พวกเขาตั้งมาเองหมด นึกภาพก็เหมือนมีแต่ ส.ว. ชุดนี้อ่ะครับ คือ มีตัวเด่น 3-4 คนชอบออกมาพูดนั่นนี่ ที่เหลือก็เงียบๆ รอยกมือกินเงินเดือน ประธานสภาตอนนั้น ก็คือ พรเพชร ที่ยังอยู่ตอนนี้ ใครเคยดูประชุมเต็มๆ ก็จะรู้ว่า ที่ด่าชวนว่าแย่กันนั้น พรเพชรหนักกว่าเป็นไหนๆ

ตอนนั้นเคยแย่หนักไปอีก เพราะมีสภาอื่นๆ ชื่อว่าปฏิรูปทั้งหลายที่กินเงินเดือนไม่แพ้กัน แต่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นนเป็นอัน จนถึงวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิรูปอะไร ส่วนกลไกการตรวจสอบ ป.ป.ช. กสม. ผู้ตรวจการ ก็ง่อยเปลี้ยเพราะถูกยึดครองหมดมานานแล้ว เอาเป็นว่า การตรวจสอบทำได้พอๆ กันในช่วงหลายปีนี้ คือ “ไม่มี”

ระบบกฎหมายตอนนั้นเพี้ยนกว่าตอนนี้เล็กน้อย สมัยนี้ใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นฐานแล้วก็ออกข้อกำหนดสารพัด ตอนนี้ 25 ฉบับแล้ว กลับไปกลับมา ซ้ำกันบ้าง คล้ายกันบ้าง เหมือนกันบ้าง จนไม่รู้ว่าจะต้องใช้ฉบับไหนก่อนหลัง ส่วนสมัยนั้นก็ใช้ “ม.44” ทำแบบเดียวกันนี่แหละ ออกคำสั่งมากมายเพื่อจะแก้ทุกอย่างเอง แล้วก็งงๆ ทำไม่สำเร็จก็เปลี่ยนกลับไปมาได้ตามใจ ที่อาจจะเจ็บช้ำน้ำใจกว่าเมื่อสมัย 5 ปีก่อน คือ พออยากได้อะไรจริงจังก็ผ่านเป็น พ.ร.บ. แล้วสภายกมือทีเดียวพรึ่บสบายเลย ส่วนที่เขียนกฎหมายจำกัดและยกเว้นความรับผิดให้ตัวเองก็ยังคงเขียนไว้แบบเดียวกันเป๊ะ

ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า สมัย คสช.1 ระบบการปิดกั้นการวิจารณ์รุนแรงกว่านี้ แค่โพสด่าทหารก็ถึงบ้านได้ จับเอาไปเข้าค่ายทหารทันทีได้ 7 วัน ขู่ให้กลัวแล้วปล่อยเฉยๆ ไม่มีข้อหาอะไรก็ได้ อำนาจนี้วันนี้ก็ยังมีอยู่แต่ไม่ค่อยกล้าใช้เพราะหน้าบางลง แถมเมื่อก่อนเอาคนขึ้นศาลทหารก็ได้ ด่าประยุทธ์ ด่าประวิตร โดน 116 ก็ได้ ถึงวันนี้ในแง่ปริมาณคดีความแม้จะมากกว่าเดิมมาก (เอ่อ … ก็หนักกว่าอ่ะนะ) แต่การขยายขอบเขตแบบไร้สาระลดลง ระวังมากขึ้น

ที่แตกต่างและพัฒนาไปมาก คือ มีคนช่วยกันรุมด่ารัฐบาลเยอะขึ้นมาก

เป็นความแปลกของบ้านเรา คือ พอเป็นยุคสมัยรัฐบาลทหารจากการรัฐประหาร 100% คนไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อนอะไร เหมือน “เฉยๆ” รู้อยู่แล้วว่ายังไงเผด็จการก็ต้องเป็นแบบนี้ จะใช้อำนาจอะไรก็ปล่อยๆ เขาไปก่อนไว้รอเลือกตั้ง แต่พอเลือกตั้งแล้ว-แม้จะโกงมา-คนก็ตื่นตัวมากขึ้นว่า รัฐบาลที่ควรจะเป็นต้องทำดีกว่านี้ และต้องตรวจสอบได้กว่านี้

คิดไม่ออกเลยว่า ถ้าโควิดมาในช่วงปี 2559 รัฐบาลจะทำยังไง ในแง่ความรู้ความสามารถก็คงไม่ได้ดีกว่าวันนี้เท่าไร แนวคิดก็คงเป็นการรวมศูนย์อำนาจสั่งการเองหมดแบบวันนี้ คงจะใช้ “ม.44” เป็นหลัก อยากสั่งอะไรก็สั่งสุ่มสี่สุ่มห้าเลย แล้วถ้าใครกล้าออกไปประท้วงก็คงโดนจับ โดยมีทหารยืนคุมตำรวจให้ใช้กำลังเต็มที่ แถมเพื่อนบ้าน เพื่อนสมัยเรียน ญาติพี่น้อง ก็จะตามก่นด่าอีกว่า จะประท้วงทำไม ประเทศกำลังจะเดินหน้า …. บลาๆๆ

สมัยนี้คนช่วยกันด่ารัฐบาลมากขึ้นแล้ว ป๋าเต๊ดก็ดี มิสยูนิเวิร์สก็ดี สรยุทธ์ก็ดี ดวงฤทธิ์ก็ดี หยุ่นก็ดี หมอไม่ทนก็ดี เพนกวิ้นชาบูก็ดี ฯลฯ เวลาจะออกตัวด่าบ้างก็สบายใจไม่ต้องมองซ้ายมองขวามากนักว่าเพื่อนจะหนีห่าง ส่วนคนยังเชียร์ก็ยังมีอยู่ เมื่อก่อนออกนอกหน้าพูดอวยกันเต็มปากเต็มคำ แต่ตอนนี้กระมิดกระเมี้ยนไม่รู้จะพูดอะไร โบ้ยไปด่าธนาธรแทน ชมประยุทธ์ไม่ออก แถมต้องใช้เฟซปลอมมาเม้นต์แบบหลบๆ ซ่อนๆ

โลกมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ใน 7 ปีมานี้ก็ได้เห็นอะไรหลายอย่างจริงๆ