‘บิ๊กตู่’ จัดขบวน ‘รมต.’ เร่งโชว์ ‘ผลงาน’ ปูทางรับ ‘ยุบสภา’? ‘พปชร.’ ปรับทัพ ‘อึมครึม’ ประชุมส่อล้ม-4 ช.ยังลุ้น/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘บิ๊กตู่’ จัดขบวน ‘รมต.’

เร่งโชว์ ‘ผลงาน’ ปูทางรับ ‘ยุบสภา’?

‘พปชร.’ ปรับทัพ ‘อึมครึม’

ประชุมส่อล้ม-4 ช.ยังลุ้น

ท่ามกลางการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยที่ไม่มีใครคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะพูดถึงเวลาการทำงานของรัฐบาลที่เหลือเพียง 1 ปี

ทำเอารัฐมนตรีที่นั่งประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ต้องงงไปตามๆ กัน เพราะเวลาของรัฐบาลที่จริงแล้วเหลืออยู่เกือบ 2 ปี หากครบเทอม ก็จะหมดวาระในปี 2566

ทำไม พล.อ.ประยุทธ์จึงเร่งรัดให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงทำผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะความเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ว่าทำอย่างไรจะให้หลุดพ้นจากความยากจนได้โดยเร็วที่สุด

“รัฐบาลยืนยันงบประมาณที่มีอยู่จะใช้อย่างคุ้มค่า รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการย้ำในที่ประชุม ครม.เสมอมาให้ระมัดระวังการทุจริต ระมัดระวังความไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรมอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมีคำพูดคำกล่าวมามากมายในขณะนี้ ขอให้เข้าใจว่ารัฐบาลหรือ ครม.มีหน้าที่ในการอนุมัติหลักการและการดำเนินการ อนุมัติการใช้จ่ายเงิน แต่ในขั้นตอนการดำเนินการเป็นเรื่องของหน่วยงาน คณะกรรมการต่างๆ จะต้องรับผิดชอบ ผมเองรับผิดชอบในฐานะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ผมรับผิดชอบตามลำดับชั้นของผม”

“อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ละเว้นใครแม้แต่คนเดียว จะทำให้มากที่สุด และทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะคนรักคนชอบ มันไม่ใช่ ผมไม่ได้ทำงานแบบนั้น จะเห็นได้ว่าหลายอย่างมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ผมก็ไปโกรธเคืองกับใครไม่ได้ ขอให้ระมัดระวังความขัดแย้งที่มันจะเกิดขึ้น ทำให้บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ และทำให้การทำงานต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ แผนงานโครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปไม่ได้”

“ขอให้รับฟังคำชี้แจงอันเป็นประโยชน์ เป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณางบประมาณต่างๆ ในชั้นกรรมาธิการ และยืนยันว่าหากมีงบประมาณอะไรที่มีการแปรญัตติมาแล้ว ผมจะนำมาดำเนินการบริหารเพิ่มให้มากขึ้นในส่วนที่ลดน้อยลงตามความจำเป็น อันนี้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะต้องรับผิดชอบต่อไปในอนาคตด้วย ขอความร่วมมือกับทุกท่านแค่นั้น” คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในระหว่างการประชุม

ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า นี่เป็นการส่งสัญญาณเตรียมพร้อมสู่สังเวียนเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นภายใน 1 ปีให้หลังจากนี้หรือไม่

 

ในขณะเดียวกันภายในพรรคพลังประชารัฐมีความรุกคืบของกลุ่ม 4 ช. ที่พยายามจะยึดอำนาจในพรรคอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

4 ช.ที่นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามด้วยนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะเหรัญญิกพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เป็นพ่อ คือนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล ที่คอยเป็นแบ๊กอัพให้กับกลุ่ม 4 ช.

โดยในครั้งนี้ นางนฤมลดูมีบทบาทกับรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะเรื่องการจัดสรรกรรมาธิการงบประมาณวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในโควต้าของรัฐบาล จนทำให้รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยหลุดโผไม่ได้เป็นกรรมาธิการในสัดส่วนของรัฐบาลแม้แต่คนเดียว

แต่กลับมีชื่อนางนฤมลเข้ามาแทน ทั้งที่ตอนประสานงาน นางนฤมลเป็นผู้ประสานและยืนยันว่าจะส่งรายชื่อให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นผู้พิจารณา อีกทั้งงานนี้ นางนฤมลยังได้เป็นรองประธานคนที่ 2 ต่อจากนายสันติ พร้อมพัฒน์ ที่เป็นรองประธานคนที่ 1

ทำให้ดูๆ ไป นางนฤมลจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ

 

กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า พรรคพลังประชารัฐจะจัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปีที่จังหวัดขอนแก่น เพราะไม่ได้เป็นพื้นที่สีแดง

แต่เมื่อประสานกลับไปยังเจ้าหน้าที่พรรคว่าการประชุมที่จะมีขึ้นนั้น จะให้สื่อมวลชนที่ประจำพรรคติดตามไปทำข่าวด้วยหรือไม่ แต่กลับได้รับคำตอบว่าไม่มีใครทราบเรื่องการประชุมดังกล่าว

แม้แต่ น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร ในฐานะโฆษกพรรค ก็ไม่ทราบเรื่องด้วยเช่นกัน

เดิมที่ว่ากันว่าการประชุมทิพย์ที่จะมีขึ้นที่จังหวัดขอนแก่น จะมีการรายงานงบดุลประจำปี และมีวาระการปรับโครงสร้างพรรค โดยเฉพาะการลดสัดส่วนรองหัวหน้าพรรคให้เหลือเพียงแค่ 4 คน

และที่สำคัญคือการเปลี่ยนตัวนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรค ออกจากตำแหน่ง โดยจะมีก๊กทางเหนือผลักดันให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มาทำหน้าที่แม่บ้านพรรคพลังประชารัฐแทน

และยังหวังจะนำทีม 4 ช.ขึ้นแท่นว่าการบ้าง

 

จนมาถึงการประชุม ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ในที่ประชุม ส.ส.ส่วนใหญ่ได้สอบถามถึงการประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 20 มิถุนายน เพราะเห็นแต่จากข่าว โดยไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการจากทางพรรคแต่อย่างใด

และในเรื่องนี้ นายอนุชาในฐานะเลขาธิการพรรค และนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ที่ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะไม่มีใครรู้รายละเอียด และกรรมการบริหารพรรคก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ ในที่ประชุม ส.ส.ยังได้มีการสอบถามถึงข่าวการปรับเปลี่ยนเลขาธิการพรรค ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย พร้อมทั้งแสดงความคิดเห็นว่า หากต้องการให้พรรคเข้มแข็งมั่นคง เป็นสถาบันการเมืองยั่งยืน ไม่ควรเปลี่ยนม้ากลางศึกบ่อยครั้ง และยังไม่เห็นว่า นายอนุชามีข้อบกพร่องผิดพลาด ยังไม่ครบวาระ และสังคมก็ยังคงให้การยอมรับ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยน

แต่หากคนในพรรคหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเห็นว่าบกพร่องเรื่องใดก็ควรสอบถามและเปิดโอกาสชี้แจงภายในพรรค ไม่ใช่ปล่อยข่าวไปภายนอก ปั่นกระแสให้เกิดความแตกแยก ที่ผ่านมาพรรคดำเนินการโดยยึดเสียงข้างมาก ต้องไม่ให้มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมามีอำนาจครอบงำพรรค ทำเหมือน ส.ส.ในพรรคเป็นคนหูหนวกตาบอด

แทนที่จะทำเรื่องที่มีสาระให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณืโควิด แต่กลับมาทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแย่งชิงตำแหน่งในพรรคทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจำเป็น

นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันว่าไม่สามารถจัดการประชุมใหญ่ที่จังหวัดขอนแก่นได้ เพราะถึงแม้ว่าขอนแก่นจะไม่ใช่พื้นที่สีแดง แต่คนที่เดินทางไปประชุม โดยเฉพาะบรรดา ส.ส.ที่เดินทางมาจาก กทม.ที่มาร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทุกคนถือว่าเดินทางมาจากพื้นที่สีแดง จะต้องมีการกักตัวก่อน 14 วัน

ซึ่งนับจากสัปดาห์นี้ก็มีเวลาไม่ถึง 7 วันจะถึงวันประชุม ทำให้การประชุมไม่สามารถจัดขึ้นได้แน่นอน