จากใจ ‘ชูวิทย์’ ถึง กปปส.กับสิ่งที่ก่อเอาไว้ ทบทวนความทรงจำ ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ทำได้หรือไม่

รายงานพิเศษ

พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

 

จากใจ ‘ชูวิทย์’

ถึง กปปส.กับสิ่งที่ก่อเอาไว้

ทบทวนความทรงจำ

ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ทำได้หรือไม่

 

“ผมอยากให้จับตาดูที่บุคคลคนหนึ่งในกรณีหากมีอุบัติเหตุทางการเมืองหรือมีอะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้นกับรัฐบาลนี้คือ “คุณอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ – หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย บุคคลคนนี้เป็นที่น่าสนใจ เพราะว่าเวลามีอะไร คนที่แปรพักตร์ หรือเป็นงูเห่าเขาเลือกเข้าภูมิใจไทยก่อนเสมอ จนเขาสามารถเก็บเล็กเก็บน้อยผสมเสียงไปมากลายเป็น 60-70 คนได้แล้ว” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย อ่านเกมการเมืองถึงบุคคลที่เนื้อหอมน่าจับตาที่สุดในเวลานี้

“ผมมองว่าพรรคภูมิใจไทยเดินทางสายเดียวกับพรรคชาติไทยในอดีต คือไม่ก่อศัตรู และเพิ่มพลัง แถมเข้าได้กับทุกฝ่ายไม่ว่าจะครั้งหน้า ผมเชื่อว่าถ้าพรรคเพื่อไทยมีอะไร ภูมิใจไทยก็จะเข้าไปตีได้อีก”

“เพราะฉะนั้น ในภาวการณ์ตอนนี้คุณอนุทินเขากำลังสะสมของอยู่ สะสมบารมี สะสม ส.ส.ของพรรคเพิ่มขึ้น ในขณะที่ปัญหาภายในของพรรคประชาธิปัตย์เองยังไม่จบสิ้น เหตุผลที่ไม่จบสิ้นเพราะว่าคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นั้นไม่สามารถที่จะดูแลสมาชิกได้ และเลขาธิการพรรคก็ไม่สามารถที่จะดูแลลูกพรรคได้อย่างดี คนเป็นหัวหน้าพรรคถ้าใจแคบ และเลขาธิการพรรคใจแคบด้วย แค่นี้ก็จบ เลขาธิการพรรคทำหน้าที่เหมือนแม่บ้าน แต่ปัจจุบันเพราะสภาวะในประชาธิปัตย์ค่อนข้างที่จะสร้างความอึดอัดให้กับสมาชิก”

“ตอนนี้พรรคภูมิใจไทยมีแต้มต่อสูงกว่ามากมายถ้าเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็นพรรคที่น่าสนใจและเป็นพรรคที่ผมคิดว่าในอนาคตมีโอกาสที่คุณอนุทินอาจจะขึ้นมาเป็นนายกฯ ได้สูงมากในกรณีที่มีปัญหาอุบัติเหตุ จำนวน ส.ส.ที่ไว้วางใจเขาก็นำ บารมีก็เพิ่มขึ้น ประกอบกับพรรคพวกหรือคนที่สนับสนุนเขามีมากขึ้นถ้าไปเทียบกับที่อื่น”

“ผมเชื่อว่าเก้าอี้ที่เหลืออยู่ พรรคภูมิใจไทยจะมีโอกาสได้ไปสัก 1 คน”

 

ชูวิทย์มองไปที่กลุ่มณัฏฐพล ทีปสุวรรณ หรือกลุ่ม กปปส.เดิม ว่าคงถูกลดบทบาทและจะลดบทบาทลงไปเรื่อยๆ จากคดีความจะค่อยๆ หายไป

“จากกระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรีที่เกิดขึ้น มันมีการวิ่งเต้น มีการขอขยับจาก รมช.เป็นรัฐมนตรีว่าการ ผมเชื่อว่าทุกคนก็อยากเป็นหมด ถ้าเราไปถามคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ไปถามคนตามข่าวเขาก็บอกว่าไม่มีอะไร เป็นเรื่องภายในพรรค ให้พรรคตัดสิน ไปถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็บอกว่าไม่มีอะไร”

“ผมมองว่านี่แหละคือเรื่องที่ไม่จริงทั้งนั้นในทางการเมือง ไม่มีหรอกที่เขาจะมาพูดความจริงให้ประชาชนฟัง”

“ถามว่าข้างในตอนนี้วิ่งกันขาขวิด แย่งกันเต็มที่ คนที่เป็นรัฐมนตรีช่วยก็อยากจะขึ้นว่าการ คนใหม่ก็อยากเข้ามา พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายอยากจะแย่งโควต้าของ กปปส.เดิมเพราะเหมือนกับว่ากลุ่มนั้นสลายไปแล้ว จะส่งตัวแทนอะไรใครมาในภาวการณ์แบบนี้ไม่ได้ เมื่อเทียบในอดีตที่เข้าร่วมใหม่ๆ ตอนนี้รัฐบาลแข็งแกร่งแล้ว ฉะนั้น หากมองว่าพรรคไหนแข็งแกร่งที่สุดก็เหลืออยู่พรรคเดียวก็คือพรรคภูมิใจไทย”

“ส่วนในพรรคพลังประชารัฐเองผมอยากให้มองไปที่ ‘ธรรมนัส’ ตอนนี้มีคนขึ้นตรงเยอะ ส.ส.ก็กลุ่มใหญ่สุด ต้องยอมรับว่าเขามีความสามารถมาก ถ้าไม่มีก็ไม่สามารถอยู่ได้ขนาดนี้หรอก”

จากสถานการณ์ทั้งหมด ชูวิทย์บอกว่าคิดถึงนักการเมืองอยู่คนหนึ่งคือหัวหน้าเก่าของผม คุณบรรหาร ศิลปอาชา แกมักพูดเสมอว่า ถ้าเราเป็นฝ่ายค้านมันอดอยากปากแห้ง ไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย ไปสั่งงานข้าราชการไม่ได้ แต่ถ้าเราเป็นรัฐบาล มันเหมือนเรามีเครื่องมือวิเศษที่จะไปทำอะไรให้รวดเร็วได้

อันนี้คือเรื่องจริง เพราะวันนี้เราเห็นได้ว่าฝ่ายค้านแม้ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเขาได้แก้ตัวจากครั้งแรกที่มีการผิดพลาดที่แย่งซีนกัน ข้อมูลไม่มี แต่หนล่าสุดนี้ดูแล้วเหมือนว่าพรรคฝ่ายค้านเริ่มจับทางถูก

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับท่าทีของรัฐบาลให้ดูคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร ที่ตอบว่าทั้งหมดนี้โกหก ไม่จริง จบสั้นๆ ง่ายๆ ให้ฝ่ายค้านแสดงละครไป วิจารณ์ไปว่ามีตั๋วนั่นจะมีเรื่องนี้ จะส่งเรื่องทุจริตให้ ป.ป.ช.ดำเนินการทำไปเลย เพราะความแข็งแกร่งของรัฐบาลที่ผมมองคือเขายังแข็งแรงอยู่มาก

เหตุผลหลักให้มองไปที่รัฐธรรมนูญคือหัวใจสำคัญ พอจะเข้าไปแก้ไข ก็ทำได้ยาก

หากให้เดาในสมัยการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมเองชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐก็ยังมีน้ำหนักอยู่ ถ้ายังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้กติกาเดิมอยู่

 

ชูวิทย์กล่าวถึง กปปส.ว่า คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ดี รัฐมนตรีต่างๆ ก็ดี ถ้าจิตตกผมก็ขอเตือนว่าเรื่องจิตเป็นเรื่องสำคัญ ต้องทำใจ เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่คุณได้ดีมาก็ได้มาเยอะแล้ว ถึงวันนี้มันก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่เราทำ

เพราะวันนั้นผมขอพูดจริงๆ นะว่า พูดแบบคนกลางเลย กะลูกหมีผมเองก็ชอบพอกันด้วยซ้ำ ในวันนั้นสิ่งที่พวกคุณทำมันหนักเกินไปจริงๆ

ถ้าเราย้อนไปในอดีตวันนั้น กปปส.ทำหนักเกินไป

ส่วนโทษที่โดนจะเห็นได้ว่าไม่ได้หนักเลย กบฏ-ล้มล้างการปกครอง ก่อการร้ายก็ไม่เห็นโดนอะไร

เพราะฉะนั้น สิ่งที่วันนั้นทำ กับสิ่งที่เขาโดน ถือว่าน้อย มันเบาไป

ชูวิทย์บอกอีกว่า “สิ่งที่ผมสงสัยในการจัดตั้ง ครม.คือ ถ้าไม่มีโควต้ากลุ่มอะไรก็แล้วแต่ อย่างที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอ้างว่าไม่มี มีแต่โควต้าพรรค อยากถามว่า แล้วคุณไปตั้งรัฐมนตรีที่มีปัญหาทางคดีเพราะอะไร การที่คุณตั้ง 3 คนที่เป็นสายของ กปปส.ที่โดนคดี มันไม่น่าประหลาดหน่อยหรือ คุณไม่ควรจะตั้งแต่แรก คุณก็ต้องยอมรับว่านี่คือบุญคุณที่ต้องทดแทน สิ่งที่คุณกระทำการในอดีต ผมพูดให้ฟังง่ายๆ คืออยู่ที่ว่าคุณอยู่ข้างใคร การเมืองมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าคุณเข้าข้างคุณสุเทพ ก็มองคุณสุเทพเป็นฮีโร่”

“แต่ผมมีข้อเท็จจริงข้อหนึ่งว่า ณ วันนั้นมันมีการยุบสภาไปแล้ว แต่กลุ่ม กปปส.ไม่หยุดเพราะเกรงว่าเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่จะแพ้เท่านั้นเอง ถ้าปล่อยให้กลไกดำเนินการไปตามนั้น มีการเลือกตั้งใหม่ ไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องได้ ไม่ถึงขั้นว่าจะต้องมีทหารออกมารัฐประหาร ต้องมี คสช. มีอะไรวุ่นวายมาถึงบัดนี้ ยอมรับการต่อสู้ในระบบรัฐสภาเป็นระบบที่เราใช้กัน”

“แต่คุณสุเทพก็อ้างว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง จำได้ไหม ผมขอย้อนความทรงจำหน่อย ปฏิรูป ปฏิรูป วันนี้คุณได้ปฏิรูปอะไรไปบ้าง? ผมก็ยังเห็นเหมือนเดิมอยู่ ผมยังเห็นว่ามีงูเห่าอยู่ หนักขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทั้งงดออกเสียงพรรคตัวเอง ทำตัวเอง นี่คือการปฏิรูปหรือ”

“ผมบอกแล้วว่า วันนั้นวิธีการที่กลุ่ม กปปส.ไม่หยุดเพราะเกรงว่าเลือกตั้งแล้วจะแพ้ ก็เลยต้องล่อให้ทหารออกมา ความเป็นจริงต้องยอมรับว่ามันเป็นอย่างนั้น”

แต่อย่างไรก็ตาม ชูวิทย์บอกว่า ผมก็มองว่ารัฐบาลนี้อยู่ต่อได้แน่นอนด้วยรัฐธรรมนูญ คุณก็แก้ไม่ได้นี่คือหัวใจ เพราะถ้าแก้ได้มันจะทำให้ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าเปลี่ยนแปลงไป

ผมเชื่อว่าพรรคที่มีที่มาจากทหารเขาเรียนรู้ทางการเมือง แต่ผมก็ยืนยันว่ามันเป็นพรรคเฉพาะกิจ ถ้าหมด พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตรเมื่อไหร่พรรคนี้ก็เรียบร้อย

วันนี้เขาอยู่ได้เพราะเรียนรู้จากอดีต มีการดูแล ส.ส.ให้แข็งแกร่ง มีการตอบแทน โดยที่ไม่ได้มีการปฏิรูป

นี่สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่สุเทพเรียกร้องนั้นเปล่าประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น

ถ้าหยุดวันนั้นแล้วปล่อยให้มีการเลือกตั้งต่อสู้ในระบบวิธีนั้นดีกว่าเยอะ

ชมคลิป