2503 สงครามลับ /พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

2503 สงครามลับ

 

สงครามลาว (14)

แลร์อธิบายแผนการของเขาต่อไป กรณีม้งพ่ายแพ้ต่อฝ่ายเวียดนามเหนือ…

“มีทางออกสำหรับพวกม้ง มีจังหวัดหนึ่งในลาวชื่อว่า ‘ไชยบุรี’ อยู่ทางใต้ติดกับแม่น้ำโขง ด้านหนึ่งของไชยบุรีติดกับแม่น้ำ ส่วนอีกด้านคือภูเขากั้นพรมแดนกับประเทศไทย ขณะนี้ที่ไชยบุรีมีชาวม้งจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่แล้ว ทางฝั่งไทยก็มีชาวม้งอาศัยอยู่ พวกเขาข้ามไป-มาเหมือนกับว่าเส้นเขตแดนนั้นไม่มีอยู่ พวกม้งของวังเปาน่าจะไปอยู่ที่นั่นได้หากเกิดความจำเป็นต้องอพยพหนีข้าศึก ถ้าวังเปาไม่สามารถอยู่ที่ไชยบุรีได้ พวกคนไทยอาจยอมรับเขาเข้าประเทศและให้เขาทำงานในกองตำรวจตระเวนชายแดน”

แลร์ปิดท้ายก่อนกล่าวว่า เขารู้จักพวกคนไทยดี และเขาคิดว่าพวกนั้นจะเต็มใจตกลงตามนี้

แลร์คิดว่าเจ้านายทั้งสองคงจะไม่เอาด้วยกับแผนของเขา คืนนั้นเขาจึงกลับไปยังบ้านพักของพวกพารูที่อยู่ใกล้สนามบิน

แลร์คิดไปถึง “เจงกิสข่านน้อย” แล้วสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาต่อไป

แต่แลร์คิดผิด

เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้านายบอกเขาว่า “ทางวอชิงตันสนใจแผนของเขา…”

ปฏิบัติการ “โมเมนตัม”

 

แลร์นั่งพิมพ์โครงการความยาว 18 หน้ากระดาษรวดเดียวจบ แล้วส่งไปทางสายโทรเลขลับของซีไอเอ อีก 3-4 วันต่อมา ทางสำนักงานใหญ่ก็ตอบกลับมา ข้อความในนั้นบอกว่า แผนของแลร์นั้นน่าสนใจ!

ในขั้นแรกแลร์ถูกมอบหมายให้ทำการฝึกและติดอาวุธทหารม้งจำนวน 1,000 คนก่อน และดำเนินการอย่างอื่นที่คิดว่าจำเป็น

โครงการนี้จะมีชื่อว่า “ปฏิบัติการโมเมนตัม”

แลร์จะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินงานภาคสนามแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่มีพันธะหน้าที่ประจำวันที่ขึ้นตรงต่อผู้อำนวยการกองบัญชาการคือเจ้านายทั้งสองแต่อย่างใดทั้งสิ้น เงินงบประมาณของปฏิบัติการทั้งหมดจะถูกส่งตรงจากกองบัญชาการใหญ่ที่วอชิงตันผ่านทางบัญชีลับที่แลร์เป็นผู้ควบคุม

ไม่เคยมีมาก่อนที่จะมีการจ่ายเงินโดยตรงข้ามหัวผู้อำนวยการกองบัญชาการย่อยเช่นนี้ มันจะต้องเป็นสถานการณ์ที่พิเศษจริงๆ เท่านั้น แล้วต้องมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่สุดคอยหนุนหลังอยู่

ซึ่งในกรณีนี้หมายถึง “ผู้อำนวยการใหญ่ซีไอเอ” ที่ต้องการให้บิลล์ แลร์ และพารูชาวไทยเป็นผู้ดูแลปฏิบัติการโมเมนตัมโดยปราศจากการแทรกแซงจากฝ่ายใดทั้งสิ้น

แม้แลร์จะตื่นเต้นกับการสนับสนุนที่ได้รับจากกองบัญชาการใหญ่เพียงใด แต่ก็ไม่ได้เสียเวลาคิดถึงมันมากนัก

เขาตัดสินใจเดินทางไปพบวังเปาอีกครั้งหนึ่งเพื่อจัดการเรื่องการฝึกและจัดตั้งกองกำลังกองโจรม้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เพื่อนตาย

กองกำลังของวังเปาถูกโจมตีในคืนที่สองหลังการพบปะครั้งแรกของพวกเขาและได้ถอนตัวร่นลึกยิ่งขึ้นเข้าไปในเขตภูเขา

ประเนตรซึ่งรอแลร์อยู่ในพื้นที่ วิทยุส่งข่าวถึงแลร์ว่า เขาจะยังรออยู่ที่จุดนัดหมายเดิมเพื่อคอยนำทางให้

แลร์เดินทางด้วยช้อปเปอร์ H-34 จากเวียงจันทน์กลับทุ่งไหหินอีกครั้งหนึ่ง แวะไปรับประเนตรที่จุดนัดพบ แล้วเดินทางไปยังที่มั่นของวังเปาทันที…

หนังสือ “อาจองธำรงศักดิ์ น้อมใจภักดิ์พระจักริน” บันทึกเหตุการณ์ระทึกใจไว้สั้นๆ ว่า…

“มีเหตุการณ์สำคัญคือเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบ H-34 ที่มีบิลล์ แลร์ และ ผบ.ประเนตร พร้อมทีมตำรวจพลร่มเพื่อเตรียมการในเรื่องการฝึกได้เกิดอุบัติเหตุตก แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ”

ขณะที่ “ผลาญชาติ” ของโรเจอร์ วอร์เนอร์ มีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

“แลร์บนเก้าอี้นักบินที่สอง สามารถมองเห็นภาพสันเขาพุ่งใกล้เข้ามาอย่างน่ากลัวได้ถนัดตา เขานึกในใจว่าเมื่อไหร่นักบินจะเชิดหัวนำเครื่องขึ้นเหนือเรือนยอดไม้เบื้องหน้า มันเหมือนกับการดูหนังสโลว์โมชั่นยังไงยังงั้น ภาพแนวสันเขาและสีเขียวของต้นไม้ใกล้เข้ามาจนเต็มจอภาพ

จากนั้นเขากลับเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้งเมื่อช้อปเปอร์ทะยานตรงเข้าชนต้นไม้ กิ่งก้านของต้นไม้ปะทะกระจกหน้าจนแตกกระจาย เครื่อง H-34 ร่วงลงกระทบพื้นดินเบื้องล่างอย่างแรง แรงเฉื่อยส่งให้เครื่องครูดไถลไปตามพื้นดินที่ด้านบนมีเสียงดังสนั่นของใบพัดที่หักเพราะแรงกระแทก เสียงระรัวของเครื่องยนต์ยังคงคำรามลั่น จากนั้นก็กลิ้งลงไปตามความชันของอีกด้านหนึ่งของสันเขา

ช้อปเปอร์หันส่วนหน้าทิ่มดินลงไปก่อน จากนั้นค่อยๆ หันทแยงด้านข้างลง ขณะที่แลร์ยกแขนขึ้นป้องกันใบหน้าของเขานั้น เครื่อง H-34 เริ่มกลิ้งกระดอนไปข้างหน้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หยุดเอียงพลิกคว่ำอยู่ในสภาพตะแคงข้าง

แลร์ปลดเข็มขัดนิรภัยพาตัวเองออกจากซากเครื่อง กระทั่งมาหยุดยืนอยู่ห่างออกไปประมาณ 25 หลา เมื่อรวบรวมสติได้แล้วเขาจึงหันกลับไปมองภาพของช้อปเปอร์นอนตะแคงข้างดูเหมือนกองเศษเหล็กขนาดใหญ่ ไม่มีการเคลื่อนไหวจากข้างในซากเครื่อง

สักพักหนึ่งแลร์ก็ได้ยินเสียงร้องออกมาว่า ‘คุณเป็นไงบ้าง’ แลร์เดินอย่างระมัดระวังกลับไปที่ซากช้อปเปอร์ เขาปีนขึ้นไปบนตัวเครื่อง ‘ฉันว่าพวกคุณรีบออกมาก่อนที่มันจะระเบิดดีกว่า’ เขาร้องเตือน เมื่อนั้นเอง ประเนตรกับพวกพารูทั้ง 5 จึงปีนออกมาจากซาก มีนักบินปีนตามมาติดๆ ทั้งหมดเดินไปนั่งลงใต้ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปในระยะปลอดภัย นั่งเอามือกุมหัว”

แลร์และคณะได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านชาวม้งที่เชิงเขาใกล้จุดเกิดเหตุ โชคดีที่ม้งผู้เฒ่าเป็นอดีตกลุ่มต่อต้านซึ่งฝรั่งเศสฝึกไว้และมีเครื่องรับส่งวิทยุ ข้อความจากวิทยุถูกส่งถึงทางเวียงจันทน์

เช้าวันรุ่งขึ้นช้อปเปอร์อีกเครื่องก็มารับพวกเขาไปยังที่มั่นของวังเปาซึ่งอยู่ข้ามภูเขาไปไม่กี่ลูก…

ข่าวดีของวังเปา

วังเปารับทราบข่าวดีจากแลร์

แลร์บอกวังเปาว่ารัฐบาลอเมริกันพร้อมจะติดอาวุธให้ม้ง 1,000 คนแรก ขั้นแรกจะเริ่มด้วยการฝึกคนจำนวน 3 กองร้อย แต่ละกองร้อยมีกำลังคน 100 นาย ประเนตรและพารูจะรับทำหน้าที่เป็นครูฝึก

สำหรับสถานที่ฝึก พวกเขาต้องการหาสถานที่ห่างไกลที่สามารถส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงทางอากาศได้ สถานที่นี้ต้องอยู่ห่างไกลและโดดเดี่ยว แลร์ย้ำกับวังเปาว่ามิฉะนั้นศัตรูอาจสังเกตเห็นการทิ้งร่มและเคลื่อนกำลังเข้าโจมตี วังเปาบอกว่ามีที่มั่นของเขาแห่งหนึ่งที่ “ผาขาว” น่าจะเป็นสถานที่เหมาะสมอยู่ทางตะวันตกของภูเขาสูง 9,000 ฟุต ชื่อว่า “ภูใบ” ตั้งอยู่ทางใต้ของทุ่งไหหิน วังเปาคาดว่าศัตรูต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 3 วันกว่าจะไปถึงที่นั่น แลร์และพวกครูฝึกพารูใช้เวลา 3 วันในการเตรียมการ เครื่องบินของแอร์อเมริกา ลำเลียงอาวุธมาทิ้งร่ม

การฝึกเป็นการผสมผสานหลักสูตรที่เคยนำไปใช้ฝึกชาวบ้านใประเทศไทยให้ป้องกันตัวเองจากกลุ่มนอกกฎหมาย จึงไม่มีอะไรยุ่งยาก

ในวันแรกพวกที่ได้รับเลือกจะเรียนรู้การใช้อาวุธประจำกาย-ปืนเล็กยาว วันต่อมาเป็นอาวุธประจำหน่วย มีปืนกลหนัก ปืน ค. และเครื่องยิงจรวด

ในวันสุดท้ายพวกเขาจะศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์ เช่น การซุ่มโจมตี การต่อลวดสะดุดโดยการใช้ลวดโลหะต่อเข้ากับระเบิดมือ เป็นต้น