เรื่องสั้น : การรอคอยที่ไม่มีคำตอบใดๆ จากยา ดะ นา (3) / สาโรจน์ มณีรัตน์

เรื่องสั้น

สาโรจน์ มณีรัตน์

 

การรอคอยที่ไม่มีคำตอบใดๆ จากยา ดะ นา (3)

แดดสายของวันรุ่งขึ้น หลังจากแทนชนรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เขาจึงขอให้บริกรของเกสต์เฮาส์เตรียมข้าวห่ออย่างง่ายๆ เพื่อกินตอนกลางวันด้วย และหลังจากที่เขาแพ็กของทุกอย่างลงเป้ พร้อมกับนำสายรัดยางมัดกระเป๋าสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบใหญ่สีดำตรงส่วนหลังของคนขี่มอเตอร์ไซค์ เขาจึงออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังวัดมหาเตงดอจีทันที

วันนี้เขาตั้งใจให้งานคืบหน้ามากที่สุด

และก็เป็นดั่งที่เขาคาดไว้จริงๆ เพราะตลอดทั้งวันของวันนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มไหนมาที่นี่เลย จะมีก็แต่เจ้าอาวาสที่เข้ามาถามว่าจะให้ช่วยอะไรบ้างไหม พอแทนชนตอบว่าไม่เป็นไรครับ พระภิกษุรูปนั้นก็เดินจากไป

จนทำให้วันนี้เขาสเกตช์ภาพจิตรกรรมได้ค่อนข้างมาก และระหว่างที่เขาสเกตช์ภาพ เสียงของยา ดะ นา ก็แว่วมาให้เขาได้ยินถึงการลงสี แบ่งภาพ และการเขียนลวดลายพุทธประวัติที่ละม้ายคล้ายคลึงกับวัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี

“จริงๆ แล้วใช่จะมีแต่วัดเกาะแก้วสุทธารามเพียงอย่างเดียวหรอก หากภาพเขียนลักษณะเดียวกันนี้ยังมีอยู่อีกหลายวัดในเพชรบุรี โดยเฉพาะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพียงแต่เธอไม่รู้เท่านั้นเอง หรือเธออาจจะรู้ก็ได้ แต่คงขี้เกียจเล่า เพราะถ้าเล่า นักท่องเที่ยวอาจถามไปถามมา” แทนชนนึกขำขึ้นมาในใจโดยไม่มีใครเห็น

ตลอดหลายวันผ่านมาแทนชนเดินทางไป-มาระหว่างเมืองมัณฑะเลย์กับเมืองสะกาย และเมืองสะกายกับมัณฑะเลย์ จนทำให้เขาเริ่มคุ้นชินกับชีวิตที่นี่บ้างแล้ว แม้จะเหงาบ้าง แต่โชคดีที่มีโอกาสติดต่อสื่อสารกับอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนที่เมืองย่างกุ้งอยู่บ้าง แต่ทุกคนอยู่ไกลเหลือเกิน

ดังนั้น ชีวิตส่วนใหญ่หลังจากเลิกงาน เขาจึงเดินผ่อนคลายตามย่านเมืองเก่าเพื่อสำรวจบ้านเมืองทุกเย็น จนพบว่าที่นี่มีตึกเก่าๆ อยู่มากมาย อาจเป็นเพราะเมืองมัณฑะเลย์เป็นราชธานีสุดท้ายก่อนอังกฤษจะเข้ามาปกครอง ฉะนั้น การวางผังเมือง การออกแบบโครงสร้างอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียลจึงมีให้พบเห็นตลอดสองข้างทาง

แต่ที่แทนชนรู้สึกชอบเป็นพิเศษคือผับเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แทรกตัวอยู่ในอาคารเก่าแก่เหล่านั้น ที่ไม่เพียงจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมานั่งพูดคุยและจิบเบียร์ท้องถิ่นของที่นี่

พวกเขายังคุยกันเงียบๆ จนทำให้แทนชนรู้สึกได้ถึงความปลอดภัย ที่สำคัญ ผับเล็กๆ แห่งนี้มีเพียงไม่กี่โต๊ะ เขาจึงกลายเป็นแขกประจำเกือบทุกเย็น

เย็นนี้แทนชนนั่งโต๊ะเดิม

เขาสั่งเบียร์ท้องถิ่นมาดื่มอย่างสบายใจ พร้อมๆ กับเสิร์ชหาข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับวัดต่างๆ ในเมืองมัณฑะเลย์ เขารู้สึกว่าหลายวันผ่านมาทำงานคืบหน้าไปมาก จึงอยากผ่อนคลายด้วยการตระเวนท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บ้าง

และไม่ทันที่เขาจะยกขวดขึ้นดื่ม ยา ดะ นา ก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า เขารู้สึกดีใจมากที่มีโอกาสเจอเธออีกครั้ง

“ยา ดะ นา เธอมาได้ยังไงนี่” แทนชนพูดอย่างตกใจ

ยา ดะ นา ยิ้มแทนคำตอบ ก่อนจะบอกว่า จริงๆ เราเห็นแทนชนมาหลายวันแล้ว แต่ไม่ได้ทัก เพราะต้องพาลูกทัวร์ไปกินข้าวต่อ แต่วันนี้ลูกทัวร์เพิ่งกลับประเทศของเขา พรุ่งนี้ว่าง พอเราเห็นเธอก็เลยเข้ามาหาไง

“แทนชนสบายดีนะ” ยา ดะ นา ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ

“สบายดีครับ แรกๆ ก็ไม่ค่อยชิน แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว เธอนั่งก่อนไหม” แทนชนเอ่ยชวน

“ได้” ยา ดะ นา ตอบ

“กินข้าวมาหรือยัง ถ้ายังสั่งกินก่อนเลย เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง” แทนชนพูด พร้อมกับทำท่าเรียกเจ้าของร้านเพื่อเอาเมนูมาให้เธอ

แต่ยา ดะ นา ร้องห้ามเสียก่อน พร้อมกับบอกว่า…เรากินมาแล้ว ถ้างั้นเอาชาร้อนแก้วหนึ่งก็แล้วกัน

ไม่นานชาร้อนสไตล์พม่าพร้อมเครื่องเคียงก็มาถึงยังโต๊ะของพวกเขา แล้วจากนั้นเขาสองคนก็คุยกันอย่างออกรส จนเวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่าๆ เป็น 2 ชั่วโมงกว่าๆ ที่พวกเขาไม่รู้สึกว่ายาวนานเลย

ตรงข้ามกลับทำให้เขาสองคนต่างรับรู้ตัวตนของกันและกันมากขึ้นด้วย

ทั้งยังทำให้แทนชนรับรู้เพิ่มเติมว่า จริงๆ แล้วยา ดะ นา คือลูก หลาน เหลน โหลนของเชลยช่างชาว อโยธยาที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่เมืองสะกายตั้งแต่ปี 2310 และบรรพบุรุษของเธอเป็นช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดมหาเตงดอจีด้วย

ที่สำคัญ บรรพบุรุษของเธอเคยเป็นสกุลช่างเมืองเพชรมาก่อน ดังนั้น เมื่อยา ดะ นา รู้ความจริงจากแทนชนว่าเป็นลูกหลานคนเมืองเพชร ทั้งยังเคยไปดูจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเกาะแก้วสุทธารามมาแล้วด้วย จึงทำให้เธออยากถามอะไรแทนชนมากมาย

ขณะที่แทนชนก็อยากถามอะไรยา ดะ นา มากมายเช่นกัน

ถึงตรงนี้ข้อมูลชีวิตของแต่ละฝ่ายถูกแลกเปลี่ยนกันอย่างมีสีสัน มีบ้างบางครั้งที่จู่ๆ เขาทั้งคู่ก็เงียบเสียเฉยๆ และมีบ้างบางครั้งที่ทำให้แทนชนรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเธอในฐานะลูก หลาน เหลน โหลนเชลยชาวโยเดีย เพราะเธอถือเป็นเจเนอเรชั่นรุ่นที่ 12 แล้ว

ยา ดะ นา อายุ 22 ปี

ขณะที่แทนชนอายุ 23 ปี แม้ทั้งคู่จะห่างกันเพียง 1 ปี เพราะยา ดะ นา เรียนจบและทำงานก่อน ขณะที่แทนชนปีนี้ก็อยู่ปีสุดท้ายแล้ว อีกไม่นานคงเรียนจบ

แทนชนยังมองไม่เห็นความหวังอะไรของตัวเองเลย

แต่ยา ดะ นา มีความหวังว่าหลังจากเธอทำงานผ่านไปสักระยะ อย่างน้อยอาจสัก 3-4 ปี เธอจะต้องเก็บเงินสักก้อนเพื่อไปเที่ยวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้ได้

เธออยากเห็น

อยากรู้

อยากซึมซับกับซากปรักหักพังของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาด้วยสายตาของตัวเอง และถ้าเป็นไปได้ เธออยากไปวัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรีสักครั้ง

เพื่อจะได้เห็นในสิ่งที่บรรพบุรุษของเธอฝากฝีมือเชิงช่างเขียนทิ้งไว้ถึง 2 แผ่นดิน

แทนชนรับปากยา ดะ นา ว่า…เราจะพาเธอไปเอง

ยา ดะ นา ยิ้มแทนคำตอบ ก่อนที่จะถามแทนชนว่า…พรุ่งนี้เธอจะไปวัดมหาเตงดอจีอีกหรือเปล่า?

“ไปสิ” แทนชนตอบ

“งั้นพรุ่งนี้เราไปรอเธอที่เกสต์เฮาส์ตอน 9 โมงเช้านะ เราจะติดรถเธอกลับบ้านด้วย” ยา ดะ นา พูดเบาๆ กับแทนชน

“ได้…พรุ่งนี้เจอกัน” แทนชนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ยา ดะ นา กล่าวขอบคุณแทนชนด้วยน้ำเสียงจริงใจ ก่อนจะขอตัวเดินกลับที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากผับเล็กๆ แห่งนี้ แทนชนมองตามเธอด้วยสายตาเป็นห่วง และไม่นานเธอก็เดินลับสายตาไปในมุมของถนนที่ตัดกัน

แทนชนสั่งเบียร์เพิ่มอีกขวด หลังจากดื่มไป 3 ขวดเล็กแล้ว เขานั่งคิดโน่น นี่ นั่น เรื่อยเปื่อย จนทำให้คิดว่าระหว่างเขากับเธอช่างมีมุมชีวิตที่ตัดกันอย่างบังเอิญ

“เราแค่อยากมาทำงานในสิ่งที่เรารัก และคิดว่างานของเราจะเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศได้ด้วยศิลปกรรม ขณะที่เธอตั้งใจเรียนทางด้านนี้โดยตรง เพื่อหวังว่าอาชีพที่เรียนมาจะช่วยทำให้เธอเป็น  ไกด์ เพราะไกด์ทำให้เธอมีโอกาสเจอนักท่องเที่ยวชาวไทย มีโอกาสเก็บเงิน เพื่อวันหนึ่งจะไปตามหาร่องรอยของบรรพบุรุษ”

“ความฝันของเธอยิ่งใหญ่มาก” แทนชนพูดกับตัวเอง

เสียงไอโฟนปลุกแทนชนให้ตื่นขึ้นตอนตี 5 ครึ่งกว่าๆ ทั้งๆ ที่เขานัดกับยา ดะ นา ตั้ง 9 โมง ใช่…เขาตื่นเต้นที่จะได้ขี่มอเตอร์ไซค์พาเธอซ้อนท้ายไปยังเมืองสะกาย เพราะผ่านมากว่า 15 วันแล้วที่เขาต้องเดินทางคนเดียว แต่วันนี้จะมีเพื่อนต่างแดนร่วมเดินทางด้วย

แทนชนเปิดผ้าม่านเพื่อดูแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ เพราะอากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาว พระอาทิตย์ขึ้นเร็วกว่าปกติ เขาต้องการชมทัศนียภาพของหมู่ทะเลเจดีย์ที่ผุดขึ้นเรียงรายหลายร้อยหลายพันองค์มาล้อเล่นกับแสงยามเช้า

ช่างเป็นภาพที่สวยงามมาก

ช่างเป็นภาพฝันอย่างไม่น่าเชื่อว่า…เราจะมาอยู่ที่นี่?

เพราะถ้าอยู่เมืองไทยเขาคงยังไม่ตื่นนอน แต่สำหรับวันนี้เขาจำเป็นต้องรีบตื่น เพื่ออาบน้ำ กินข้าว จิบกาแฟแล้วลงมารอยา ดะ นา ข้างล่าง

“9 โมงเช้าแล้วทำไมยา ดะ นา ยังไม่มา” แทนชนเริ่มใจเสีย

“9 โมงครึ่งแล้ว” ยา ดะ นา ก็ยังไม่มา

จนใกล้ 10 โมงเช้าเด็กคนหนึ่งรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา พร้อมกับยื่นกระดาษโน้ตสั้นๆ เขียนเป็นภาษาไทยบอกว่า…ขอโทษด้วยนะ ไปไม่ได้แล้ว หัวหน้าเรียกประชุมด่วน จากยา ดะ นา

แทนชนรู้สึกเสียใจ ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจ เพราะอาชีพไกด์มักมีเรื่องเร่งด่วนอยู่เสมอ ไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ทุกอย่างอยู่ที่ลูกค้าทั้งสิ้น แต่ที่รู้สึกใจหายคือ…ยา ดะ นา ไม่เขียนบอกอะไรสักคำว่าจะเจอกันเมื่อไหร่

“ไม่เป็นไร” แทนชนปลอบใจตัวเอง

จากนั้นเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยความเปลี่ยวเหงา แม้อากาศยามแดดสายจะอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่หัวใจของเขากลับหนาวสะท้านขึ้นมา

ไม่นานเขาก็มาถึงวัดมหาเตงดอจี

แทนที่เขาจะนั่งสเกตช์ภาพในส่วนที่เหลือให้เสร็จ เขากลับนึกถึงยา ดะ นา ที่บอกเล่าว่าบรรพบุรุษของเธอเป็นคนเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดแห่งนี้

แต่ตอนนี้เรากำลังมานั่งลอกลายในสิ่งที่บรรพบุรุษของเธอเป็นผู้เขียนไว้เมื่อ 252 ปีก่อน แทนชนรู้สึกแปลกใจมากที่จู่ๆ เรื่องราวเหล่านี้กลับเกิดขึ้นกับตัวเขา ถ้าเขาไม่เรียนสถาปัตยกรรมไทยคงไม่ได้มาที่นี่ และถ้าเขาไม่เคยไปวัดเกาะแก้วสุทธารามมาก่อน เขาคงไม่ฝังใจกับบทบาทของสกุลช่างเมืองเพชรที่เชื่อมโยงไปถึงช่างเขียนแห่งอโยธยา และเชลยช่างเขียนแห่งโยเดีย

“ทุกอย่างมันกำลังถูกลิขิตใช่มั้ย” แทนชนถามตัวเอง

“จริงๆ ยา ดะ นา ไม่ใช่ผู้หญิงสวยในแบบฉบับสาวเมืองหลวงในมหานครกรุงเทพ แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงขี้เหร่ รูปร่างสูงโปร่งราวๆ สัก 160 เซนติเมตร ผิวสองสี นัยน์ตาคมเข้ม ปากนิด จมูกหน่อย ผมยาวประบ่า เธอชอบใส่ผ้าถุงลายดอกสีสด และสวมเสื้อลูกไม้คอกลมแขนกระบอกรัดรูปสีพื้น”

“ดูๆ ไปก็คือชุดประจำชาติของผู้หญิงชาวพม่าทั่วไป แต่สิ่งที่เธอดูแตกต่างอาจไม่ได้อยู่ที่ชุด แต่กลับอยู่ที่ดวงตาแห่งความมุ่งหวัง คำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ และจิตใจที่เข้มแข็งของเธอ” แทนชนคิดอย่างนั้นจริงๆ

วันนี้แม้การสเกตช์ภาพอาจคืบหน้าไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ทำให้แทนชนมีโอกาสทบทวนตัวเอง เพราะสิ่งที่เขาคิดอาจไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับที่ยา ดะ นา คิดก็ได้

เขาจำต้องเผื่อใจ

แม้จะรู้สึกแอบชอบเธอบ้างเข้าแล้ว แต่เขาต้องพยายามข่มใจเพื่อไม่ให้ถลำลึกไปมากกว่านี้ แทนชนต้องพยายามเตือนตัวเองว่ามาที่นี่เพราะอะไร? และจะต้องนำอะไรกลับไปส่งอาจารย์?

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขาเริ่มหวั่นไหว แม้จะเพิ่งรู้จักกันก็ตาม แต่เป็นการรู้จักด้วยมิตรไมตรีของคนสองแผ่นดิน

ที่ต่างมีเชื้อชาติเดียวกัน

แสงแดดยามบ่ายทอดยาวเข้ามาภายในพระอุโบสถ คงถึงเวลาที่แทนชนคงต้องกลับที่พัก เขาคิดในใจว่า หลังจากอาบน้ำกินข้าว เย็นๆ เขาจะเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินเชิงสะพานข้ามแม่น้ำ  อิรวดี

เขาอยากปล่อยใจไปกับสายน้ำแห่งเมืองมัณฑะเลย์เพื่อสื่อสารไปยังต้นแม่น้ำแห่งเมืองเพชรที่มีเทือกเขาตะนาวศรีขวางกั้นระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่าให้ทราบว่า…เขามาเจอลูก หลาน เหลน โหลนของเราอยู่ที่นี่

เธอคงอยากกลับบ้าน อยากกลับอโยธยา และอยากกลับเพชรบุรี

เพียงแต่ตอนนี้เขากำลังรอเธออยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอ แต่เขาก็จะรอ รอด้วยความไม่คาดหวัง เพราะเชื่อแน่ว่าสักวันคงต้องพบกันอีก ตราบเท่าที่ยังอยู่ในเมืองนี้

แสงอาทิตย์สุดท้ายลับขอบฟ้าจนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด แทนชนค่อยๆ ขี่มอเตอร์ไซค์กลับเกสต์เฮาส์ พร้อมกับวางแผนในใจว่าพรุ่งนี้งานสเกตช์ภาพจิตรกรรมทั้ง 4 ด้านน่าจะแล้วเสร็จ

ถ้าจะเหลือ คงไม่มากนัก นั่นหมายความว่าภารกิจของเขาใกล้ความจริงแล้ว จะได้มีเวลาไปเที่ยวในที่ต่างๆ บ้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ 20 กว่าวัน แทบไม่ได้ไปไหนเลย

ดังนั้น พอถึงวันรุ่งขึ้นแทนชนจึงตั้งใจสเกตช์ภาพในส่วนที่เหลือ แม้จะมีความลำบากในการต่อภาพ เพราะภาพบางช่วงอยู่สูงขึ้นไปจนถึงเพดานพระอุโบสถ แต่เขาก็อาศัยความชำนาญ เพราะลวดลายของภาพเขียนส่วนใหญ่มักจะคล้ายๆ กัน

ถ้าจะแตกต่างคงเป็นเรื่องของการใช้สีและการแบ่งเส้นสินเทาที่เกิดขึ้นจากอายุที่เก่าแก่ จนทำให้ลวดลายไม่ต่อเนื่อง ยิ่งบางภาพมีความสึกหรอด้วยกาลเวลา และภัยธรรมชาติจากน้ำฝนที่หยดลงมา จนทำให้ภาพบางส่วนเสียหาย

แทนชนพยายามตั้งใจลอกลายอย่างประณีต เพื่อให้เหมือนดั่งภาพเขียนครั้งสมัยแรกๆ ที่พวกเชลยช่างเขียนแห่งอโยธยาใช้หัวใจในการเขียน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

และระหว่างที่เขาทำงานเพลินๆ อยู่นั้น ยา ดะ นา ก็ส่งเสียงเรียกแทนชน เขาหันกลับไปมองต้นเสียง ใช่…ยา ดะ นา จริงๆ เสียด้วย

“มาได้ยังไงนี่ ยา ดะ นา” แทนชนทักทาย

“เรากลับบ้านที่สะกาย เลยลองแวะมาดูเธอว่ายังอยู่ที่วัดหรือเปล่า ปรากฏว่าอยู่จริงๆ เสียด้วย” ยา ดะ นา ตอบแทนชนอย่างอารมณ์ดี

“วันนี้ไม่มีลูกทัวร์เหรอ” แทนชนเอ่ยถาม

“ไม่มี…คงอีกหลายวัน งานเธอใกล้เสร็จหรือยังล่ะ” ยา ดะ นา ถามบ้าง

“ใกล้แล้วละ วันนี้น่าจะเสร็จทั้งหมด มีอะไรหรือเปล่า” แทนชนแสร้งถาม

“เราจะชวนเธอไปวัดยะดะนา กรุงรัตนปุระอังวะ เธออยากไปไหม” ยา ดะ นา ส่งเสียงเว้าวอน

“ได้…งั้นรอเราสักครู่นะ” แทนชนตอบกลับไป

“เธอไม่ต้องรีบหรอก ทำงานไปเถอะ แต่เราต้องขอโทษด้วยนะเรื่องวันก่อนที่ผิดนัดกับเธอ พอดีหัวหน้าเรียกประชุมด่วน จึงต้องรีบไป เธอไม่ว่าอะไรเรานะ” ยา ดะ นา อธิบายยืดยาว

แทนชนยิ้มแทนคำตอบ จนทำให้ยา ดะ นา รู้สึกสบายใจขึ้น เพราะหลังจากเธอผิดนัดกับแทนชนวันนั้น เธอต้องวางแผนในการรับลูกทัวร์ชุดต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาจะท่องเที่ยวและพักแถบเมืองมัณฑะเลย์ จึงทำให้เธอไม่มีโอกาสกลับบ้าน จนวันนี้หัวหน้าของเธอมาธุระที่เมืองสะกาย

เธอจึงติดรถยนต์มาหาแม่

ยา ดะ นา ไม่ได้เจอแม่และญาติพี่น้องมา 2-3 เดือนแล้ว เพราะนักท่องเที่ยวชาวไทยมาเมืองมัณฑะเลย์ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ และทำท่าว่าลูกทัวร์จะลากยาวไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

เธอคิดถึงแม่ เพราะแม่เริ่มอายุมากแล้ว อีกอย่างนับแต่พ่อจากไปด้วยโรคไตวายเฉียบพลันเมื่อปีที่ผ่านมา แม่ค่อนข้างเงียบเหงา เพราะยา ดะ นา เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ยิ่งเธอต้องทำงานไกด์ด้วย จึงไม่ค่อยมีเวลากลับบ้าน

โชคยังดีที่ญาติพี่น้องของพ่อและแม่อยู่ใกล้บ้าน จึงทำให้แม่พอมีเพื่อนคุยบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เรื่องที่พูดคุยก็มีแต่เรื่องการทำการเกษตร เพราะครอบครัวของแม่เป็นเกษตรกรมาแต่บรรพบุรุษ ส่วนพ่อสืบเชื้อสายมาจากเชลยช่างเขียนชาวโยเดีย

ยา ดะ นา จำภาพตอนเด็กๆ ได้ว่าเคยติดตามปู่กับพ่อมาวัดมหาเตงดอจีเพื่อมาซ่อมแซมภาพจิตรกรรมฝาผนัง ตอนนั้นมีแต่ครอบครัวเราเท่านั้นที่ยังสืบเชื้อสายช่างเขียนอยู่ เพราะเชลยช่างเขียนชาวโยเดียส่วนใหญ่แต่งงานมีครอบครัวกับคนท้องถิ่น บางคนไปสร้างครอบครัวอยู่เมืองอื่น

แต่พ่อของยา ดะ นา เลือกอยู่ที่นี่ และพ่อของเธอก็สืบเชื้อสายมาจากช่างเขียนแห่งอโยธยา กระทั่งกลายเป็นทายาทเชลยช่างเขียนชาวโยเดียคนสุดท้ายที่อยู่เมืองสะกาย ขณะที่แม่ก็เป็นลูก หลาน เหลน โหลนของช่างเขียนแห่งกรุงศรีเช่นกัน เพียงแต่ครอบครัวของแม่แต่งงานกับคนท้องถิ่น จนทำให้เธอพลอยมีสายเลือดแห่งพม่าเจือปนอยู่ในตัว

ดังนั้น ตอนที่แทนชนถามว่า…เธอเป็นลูกครึ่งหรือ?

“ใช่” ยา ดะ นา ตอบ

จึงเป็นเรื่องจริง

เป็นเรื่องจริงที่ทำให้เธออยากทำความฝันของพ่อให้เป็นจริง ทั้งๆ ก่อนพ่อล้มเจ็บ พ่อของยา ดะ นา พูดเสมอๆ ว่า…สักวันพ่อจะไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ่อจะพาลูกไปด้วย

และเราจะไปวัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี เพราะบรรพบุรุษของเราสืบเชื้อสายมาจากสกุลช่างเมืองเพชรที่มีโอกาสมาถวายงานรับใช้ราชสำนักอโยธยาเมื่อ 200 กว่าปีก่อน

“พ่อจึงตั้งชื่อลูกว่า ยา ดะ นา ซึ่งตรงกับภาษาไทยว่ารัตนะ ความหมายคือแก้วที่มีค่ายิ่ง เพราะพ่อต้องการคำว่าแก้วให้ไปอยู่ในชื่อของวัดเกาะแก้วสุทธาราม เพื่อลูกจะได้รู้รากของตัวเองว่ามาจากไหน” ยา ดะ นา นึกถึงคำพูดของพ่อ

พ่อที่วันนี้ไม่มีโอกาสพาลูกสาวคนนี้ไปเสียแล้ว

แต่กระนั้น ยา ดะ นา ยังจำคำพูดของพ่ออีกอย่างที่เกี่ยวกับชื่อของเธอว่าไปสอดคล้องกับวัดแห่งหนึ่งในกรุงรัตนปุระอังวะที่ชื่อวัดยะดะนาอย่างตั้งใจด้วย เพราะวัดนี้นอกจากวิหารหรือพระอุโบสถจะเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายคล้ายๆ กับวัดกุฎีดาว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

หากฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยังก่อขึ้นมาจากดิน ซึ่งแตกต่างจากศิลปะพม่าอย่างสิ้นเชิง นอกจากนั้น ภายในวัดยังมีช่องหน้าต่างบานใหญ่โค้งมนเข้าหากัน คล้ายๆ กับพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย

“ตอนนั้นพ่อมาช่วยงานทางด้านอนุรักษ์ศิลปกรรม และโบราณสถานของทางราชการพม่าในฐานะคนโยเดียรุ่นสุดท้าย เพื่อตามหาซากโบราณสถานครั้งสมัยเชลยช่างเขียนชาวโยเดียมาสร้างวัดวาอารามต่างๆ ในกรุงรัตนปุระอังวะ”

“จนกระทั่งพ่อเป็นคนค้นพบเจอวัดยะดะนา และเมื่อเจอ พ่อก็รู้ในทันทีว่าวัดนี้ไม่ใช่ศิลปะพม่า แต่น่าจะเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนปลายที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวตะวันตก”

“พ่อจึงมีความผูกพันกับวัดแห่งนี้ เพราะนอกจากเขาจะเป็นคนเจอคนแรก ยังทำให้รู้สึกถึงความภูมิใจในเชื้อชาติของตัวเองที่สืบเชื้อสายมาจากสกุลช่างแห่งอโยธยา”

“เพียงแต่ตอนนั้น ยา ดะ นา ยังไม่เกิด แต่พ่อก็แอบมีความหวังลึกๆ ว่า ถ้ามีลูกไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เขาจะตั้งชื่อในลักษณะใกล้เคียงกับวัดแห่งนี้” ยา ดะ นา นึกถึงความหลังที่พ่อเคยเล่าให้ฟังอย่างมีความสุข

แม้จะผ่านมา 1 ปีแล้วก็ตาม