เครื่องเสียง/พิพัฒน์ คคะนาท/JBL 75th Anniversary กับผลิตภัณฑ์เนื่องในวาระพิเศษ

เครื่องเสียง/พิพัฒน์ คคะนาท [email protected]

JBL 75th Anniversary

กับผลิตภัณฑ์เนื่องในวาระพิเศษ

 

ปีนี้, ถือเป็นปีแห่งวาระเฉลิมฉลองของแบรนด์ลำโพงระดับแถวหน้าของวงการ ที่มีมิตรรักนักเพลงให้ความชื่นชมและชื่นชอบในสินค้าของค่ายนี้อยู่ทั่วทุกมุมโลก

เป็นลำโพงที่ยืนหยัดในตำแหน่งขวัญใจนักเล่นตัวจริงทุกระดับ เพราะมีสินค้าให้เลือกซื้อหาไปใช้ตั้งแต่ระดับมือใหม่กับลำโพงในกลุ่ม Budget ไปยันนักเล่นกลุ่มเงินมิใช่ปัญหาทั้งระดับ Hi-End และ Super Hi-End ที่ขอแค่พอใจในเสียงดนตรีที่ได้สัมผัสโสต ก็ยินดีจ่ายแบบบอกมาเท่าไรก็ไม่มีอิดออด

ลำโพงแบรนด์ที่ว่าก็คือที่จ่าหัวเอาไว้นั่นแหละครับ ซึ่งย่อมาจากชื่อและสกุลของผู้ก่อตั้ง คือ James B. Lansing ที่ได้นำผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อนี้ออกสู่ตลาดครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1946 หรือตั้งแต่ พ.ศ.2489 โน่น

สินค้าชิ้นแรกของค่ายนี้เป็นไดรเวอร์ขนาด 15 นิ้ว คือ Model D 101 ซึ่งเป็นตัวขับเสียงแบบที่เรียกว่า General Purpose Loudspeaker โดยเวลานั้นใช้ชื่อในการทำตลาดว่า Lansing Sound, Inc ซึ่งมาจากชื่อเต็มๆ คือ James B. Lansing Sound, Incorporated แต่ในวงการเรียกขานแบบรู้ๆ กันว่า JBL มาตั้งแต่ยุคนั้นแล้วล่ะครับ

และกับวาระอันน่ายินดีในปีนี้ที่ครบรอบการก่อตั้งบริษัทมาถึง 75 ปี JBL ก็ได้ออกผลิตภัณฑ์รุ่นพิเศษมาเป็นที่ระลึกแบบจำกัดจำนวนผลิต หรือเป็น Limited-Edition นั่นแหละครับ และนำมาเปิดตัวให้เห็นตัวเป็นๆ กันครั้งแรกในงานโชว์ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค (Consumer Electronics Show) ที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งรู้จักกันในชื่องาน CES 2021 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (11-14 มกราคม 2564)

ซึ่งงานปีนี้นับเป็นครั้งแรกใน 51 ครั้งที่เคยจัดมา ที่เป็นการจัดงานแบบไม่มีการเข้าร่วมงาน ซึ่งปกติแล้วจะมีการพบปะกันอย่างใกล้ชิดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ทั้งนี้ก็เนื่องเพราะเจ้าไวรัสโคร้ายยังไล่ขวิดแบบไม่ราข้อนั่นเอง งานหนนี้จึงเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า CES Digital 2021 ซึ่งนับเป็นประสบการณ์จัดงานแบบดิจิตอลเป็นครั้งแรก ทั้งของฝ่ายผู้จัด หรือ Organizer และฝ่ายผู้ออกงาน หรือ Exhibitor โดยรูปแบบของงานนั้นให้บริษัทต่างๆ นำเสนอนวัตกรรมอันยอดเยี่ยม และที่เป็นพัฒนาการล่าสุดของตน ทางออนไลน์ผ่านศูนย์กลางที่เป็นสื่อของผู้จัด คือให้ดูให้ชมกันผ่านทางหน้าจอแทนการเดินเข้างานไปดูกับตาตัวเองแบบที่ผ่านมา

และทุกฝ่ายก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่างานปีหน้า หรือ CES 2022 จะสามารถกลับไปจัดกันแบบเดิมๆ ณ ที่เดิม คือ Las Vegas Convention Center ได้อีกครั้ง ทั้งยังกำหนดวันเอาฤกษ์เอาชัยไว้แล้วด้วย คือ 5-8 มกราคม 2565

 

กลับมาที่ผลิตภัณฑ์รุ่นพิเศษของค่าย JBL ที่ได้นำเสนอออกมาในวาระพิเศษครบรอบ 75 ปี กันต่อ ซึ่งมีอุปกรณ์ทางด้านระบบเสียงสองประเภทด้วยกัน

หนึ่งนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นลำโพงอยู่แล้ว

ส่วนอีกหนึ่งหลายคนคงคาดไม่ถึงว่าค่ายนี้เขาจะทำแอมปลิไฟเออร์ออกมา

เพราะจะว่าไปหลายปีให้หลังมานี่ โดยเฉพาะในยุคของการสตรีมมิ่ง หรือในยุคของการสื่อสารและการเข้าถึงเสียงเพลงแบบไร้สาย สินค้าที่ออกมาจากค่ายนี้นอกจากจะมีชุดลำโพงที่ครอบคลุมนักเล่นครบทุกกลุ่มแล้ว ยังได้เน้นไปที่อุปกรณ์จำพวก Gadget สำหรับการใช้งานแบบพกพาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งสินค้าหลักๆ ในกลุ่มหลังที่ว่าก็คือชุดหูฟังกับลำโพง Bluetooth นั่นเอง

กิตติศัพท์อันลือชื่อด้านการทำแอมป์ของ JBL ต้องย้อนยุคกลับไปไกลถึงห้าหกทศวรรษโน่น เพราะในช่วงทศวรรษที่ 60s และ 70s นั้น มีแอมปลิไฟเออร์อยู่รุ่นหนึ่งของค่ายนี้เป็นที่นิยมกันมาก นั่นคือ Model SA600 ซึ่งในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็น Model SA660 จึงเมื่อถึงวันนี้ที่เป็นวาระพิเศษ JBL ก็ได้หยิบภาพลักษณ์ของแอมป์สองรุ่นที่ว่ากลับมาทำใหม่อีกครั้งในสไตล์ Retro คือคงโครงสร้างหน้าตาที่เห็นแล้วบ่งบอกความเป็นอะนาล็อกจ๋าเอาไว้ชัดดังที่เห็นในภาพนั่นแหละครับ

แต่ภายในของแอมป์ Model 75th Anniversary ซึ่งมีชื่อรุ่นว่า SA750 นั้นสะท้อนความทันสมัยผ่านการทำงานส่วนใหญ่ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล เพื่อรองรับการเล่นที่เป็นไลฟ์สไตล์ปัจจุบันอย่างเป็นสำคัญครับ

 

JBL SA750 Integrated Amplifier ได้คงเอกลักษณ์ของเครื่องต้นแบบทั้งสองรุ่นเอาไว้อย่างครบถ้วน นับตั้งแต่แผงหน้าปัดอะลูมิเนียม โดดเด่นด้วยรูปรอยตราสัญลักษณ์แบบดั้งเดิมที่แผงหน้าปัดด้านซ้ายตอนบน ประกบแผงด้านข้างเครื่องด้วยแผ่นไม้แบบวีเนียร์คลาสสิคลายไม้สัก พร้อมคงปุ่มลูกบิดและสวิตช์ควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานแบบคันโยกเอาไว้ โดยปุ่มลูกบิดและสวิตช์คันโยกนั้นมีทั้งใช้ควบคุมการเปิด/ปิดเครื่อง ควบคุมระดับความดังเสียง ควบคุมและปรับแต่งความสมดุลเสียง

รวมทั้งการเลือกอินพุตต่างๆ ทั้งยังมีช่องเสียบอินพุตสำหรับ AUX และช่องเสียบเอาต์พุตสำหรับชุดหูฟัง โดยทั้งสองช่องใช้สำหรับการต่อผ่านหัวเสียบแบบ Mini Jack 3.5mm ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวอันอยู่บนแผงหน้าปัดนั้น ล้วนให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเป็นอะนาล็อกแบบดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี

โดยส่วนที่แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดบนแผงหน้าปัดก็คือ จอดิสเพลย์ ที่แสดงผลแบบสองบรรทัดด้วยตัวอักษรสีส้ม เพราะสองรุ่นที่เป็นต้นแบบนั้นไม่มีสิ่งนี้แต่อย่างใด

ทางด้านการออกแบบแผงวรจรภายในนั้นแตกต่างไปจากหน้าตาที่เห็นอย่างสิ้นเชิง จะบอกว่าต่างกันอย่างสุดขั้วก็ว่าได้ เพราะที่ผนวกเข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีทั้งที่ก้าวล้ำและร่วมสมัย อาทิ การออกแบบภาคขยายเสียงโดยใช้การทำงานในแบบ Class-G รองรับการทำงานแบบสตรีมมิ่งได้ สามารถเข้าถึง Google Chromecast และ Apple AirPlay 2 ได้อย่างสะดวก ภาคการทำงานของ DAC : Digital-to-Analogue Converter รองรับการทำงานกับไฟล์ความละเอียดสูงได้ถึงระดับ Hi-Res Audio

ทั้งยังรองรับการทำงานกับไฟล์เสียงคุณภาพสูงอย่าง MQA : Master Quality Authenticated ได้อีกด้วย

 

นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติที่บ่งบอกความเป็นเครื่องระดับพรีเมียมทั้งด้วยความเป็น Roon Ready ที่เอื้อความสะดวกในการจัดการ และควบคุมการเล่นเพลง จากเครือข่ายไร้สายรวมทั้งจากการสตรีมมิ่ง และการได้บรรจุ Dirac Live ที่เป็นโปรแกรมแก้ไขคุณภาพเสียงให้เหมาะสมกับสภาพอะคูสติกภายในห้อง ซึ่งเป็นโปรแกรม Room Correction ที่ว่ากันว่าดีที่สุดในปัจจุบันเข้ามาในเครื่องด้วย

ทางด้านอินพุตมีให้พร้อมทั้งอะนาล็อกและดิจิตอล โดยอะนาล็อกนั้นเป็นแบบ RCA Input พร้อมผนวกภาค Phono Stage ที่รองรับการเล่นหัวเข็มได้ทั้งแบบ MM : Moving Magnet และ MC : Moving Coil ส่วนดิจิตอล อินพุต มีให้ทั้งแบบ Optical และ Coaxial นอกจากนี้ ยังมีพอร์ตสำหรับเล่นไฟล์เพลงจากหน่วยจัดเก็บความจำแบบ USB Device ให้ด้วย

สำหรับภาคขยายเสียงที่มีการทำงานในแบบ Class-G นั้น ให้กำลังขับ 120 วัตต์/แชนเนล, ที่โหลด 8 โอห์ม และเพิ่มเป็น 220 วัตต์/แชนเนล, ที่โหลด 4 โอห์ม

เที่ยวหน้ามาว่ากันถึงลำโพงรุ่นพิเศษที่ออกมาในวาระเดียวกันนี้ต่อนะครับ