เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ /วิกฤตคือการเสียสมดุล

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

วิกฤตคือการเสียสมดุล

 

คุณหมอประเวศ วะสี ท่านกล่าวไว้ในที่ประชุมเชิงสัมมนาเรื่องโรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ถึงความหมายของคำ “วิกฤต” ว่าคือการ “เสียสมดุล” นั่นเอง

วิกฤตวัฒนธรรมวันนี้จึงหมายถึงการเสียสมดุลใน “วิถีชีวิต” ของผู้คนของสังคมและของโลกโดยส่วนรวมด้วย

แม้คำว่า “วัฒนธรรม” เองก็กลายเป็นวิกฤตไปเสียเอง ด้วยความเข้าใจความหมายที่ต่างกันอันเป็นการเสียสมดุลทางความเข้าใจ

นี่เป็นวิกฤตเบื้องต้นของวัฒนธรรม

 

ความหมายแท้จริงเบื้องต้นของวัฒนธรรมคือ “วิถีชีวิต”

วิเคราะห์จากศัพท์ “วัฒนะ” หมายถึง “งอกเงย” คำ “ธรรม” หมายถึง “สิ่ง” (จากรากศัพท์ ธร หรือ ธระ ที่แปลว่า ทรง หรือทรงไว้ คือทรงไว้ซึ่งความเป็นเช่นนั้น ดังก่อนจะสมมุติเรียกเป็นอะไร)

วัฒนธรรม โดยศัพท์จึงแปลว่า “สิ่งที่งอกเงย” ซึ่งในที่นี้หมายเอาสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นสำคัญ ท้องฟ้า ดวงดาว ภูเขา ป่า ทะเลที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ จึงไม่ใช่วัฒนธรรมโดยนัยนี้

วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นอยู่ ดังนั้น ความหมายโดยรวมของวัฒนธรรมจึงหมายถึง “วิถีชีวิต” โดยตรง

วัฒนธรรมจึงมีทั้งความหมายโดยเฉพาะและความหมายโดยรวม เช่น วัฒนธรรมไม่ใช่ศาสนา แต่ศาสนาเป็นวัฒนธรรม วัฒนธรรมไม่ใช่ชาติ แต่ชาติเป็นวัฒนธรรม

คำว่าชาติ คำว่าศาสนา อันหมายถึงองค์รวมที่เป็นผลโดยตรงจึงย่อมไม่ใช่วัฒนธรรมโดยชื่อ แต่สิ่งหรือเหตุที่ทำให้เกิดมีขึ้นซึ่งความเป็นชาติ ศาสนานั้นแหละ คือวัฒนธรรม

วัฒนธรรมจึงหมายถึง “วิถี” เพื่อ “ชีวิต” โดยแท้ ดังความหมายรวมว่า “วิถีชีวิต” นั่นเอง

คุณหมอประเวศ วะสี

 

ว่ามายืดยาวนี้เพื่อจะทำความเข้าใจให้ตรงกันเป็นเบื้องต้น จะได้ร่วมขจัดวิกฤตวัฒนธรรมขั้นพื้นฐาน

คุณหมอประเวศ วะสี ท่านสื่อความส่วนตัวเป็นสำคัญอย่างน่าสนใจอีกคือ

“คำว่าวัฒนธรรม คนมองแบบแยกส่วนเสียจนเคย จึงไม่มีพลัง”

คุณหมอท่านใช้คำว่า “วัฒนธรรมองค์รวม”

ท่านขยายความเพื่อนำมาประยุกต์ใช้อย่างสร้างสรรค์ต่อไปว่า

“ภูมิบ้าน ภูมิเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น การพัฒนาอย่างบูรณาการ ชุมชนท้องถิ่นเข้มแข็ง การพัฒนาโดยเอาวัฒนธรรมเป็นตัวตั้ง สันติภาพกลายเป็นเรื่องเดียวกัน หรืออยู่ในกันและกัน”

นี้เป็น “ดุลยภาพ” ใหม่ของวัฒนธรรมนำพัฒนาชาติ ที่รัฐบาลพึงให้ความสนใจ

เป็นการบ้านที่ผู้เกี่ยวข้องต้องนำมาเป็นโจทย์ตอบให้ได้ด้วยการกระทำที่เป็นจริง

วิกฤตวัฒนธรรมของสังคมไทยวันนี้มีมากมายนัก ดังโวหารผู้รู้กล่าวว่า

“สังคมชั่วไม่ใช่เพราะคนทำชั่วมีมากกว่าคนทำดี หรือคนดีมีน้อยกว่าคนชั่ว แต่สังคมชั่วเพราะคนในสังคมไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว”

ตัวอย่างสื่อโทรทัศน์วันนี้มากมีรายการที่ล้วนให้คนตกเป็นเหยื่อของกิเลส โลภ อยากรวย อยากสวย เลขหวยเลขเด็ด กิเลส โกรธ เช่น บู๊สะบั้นหั่นแหลก ตบตีวิวาทวินาศสันตะโร เอาชนะกันแม้ในเกม เช่น มวยและฟุตบอล กิเลสหลง เช่น คนทรงเจ้าเข้าผีสารพัด

วิกฤตวัฒนธรรมทำนองนี้คือการเสียสมดุลระหว่างกิเลสกับปัญญาโดยแท้

 

โลกวันนี้ อธรรมมันปราดเปรียวกว่าธรรมะที่มักงุ่มง่าม ท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุท่านว่า ถึงอย่างไรธรรมะที่งุ่มง่ามย่อมดีกว่าอธรรมที่ปราดเปรียวในที่สุดเสมอ

ศีลธรรม แปลว่า “ความเป็นปกติ” ซึ่งก็คือการไม่เสียสมดุลนั่นเอง

ท่านอาจารย์พุทธทาสย้ำสัจวาทะอยู่เสมออีกเช่นกันว่า

“ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ”

ดุลยภาพที่เสียไปก่อให้เกิดวิกฤตวัฒนธรรม รวมถึงสันติภาพของโลกวันนี้คือความไร้ศีลธรรม ซึ่งคือการสูญเสียความเป็นปกติอันนำสู่โลกาวินาศในที่สุด

 

ส่งท้ายด้วยข้อเขียนของท่านอาจารย์พุทธทาส เรื่อง “สายฝนทองคำ” ดังนี้

“ให้ฝนตกลงมาเป็นทองคำ”

ฝนทุกเม็ดตกลงมาเป็นทองคำก็ไม่ทำให้โลกที่ไม่มีศีลธรรมนี้มีความสุขได้ มันจะแย่งกันแต่ฝนทองคำ แล้วมันก็จะฆ่ากันตายตรงนั้นแหละ

การที่ฝนจะตกมาเป็นทองคำ มันแก้ปัญหาไม่ได้ มันจะแย่งกัน ฆ่ากัน

เพื่อแย่งกันเก็บ ถ้าใครเก็บเอามาไว้ที่บ้านมาก มันก็ถูกปล้นเรื่อยจนตายหมด

ถ้ามันไม่มีศีลธรรม ให้ฝนตกลงมาเป็นทองคำ มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้ามันไม่มีศีลธรรม เพราะมันไม่รักใครเลย

นี่ถ้าเรามีศีลธรรม มันไม่ต้องอย่างนั้นหรอก ฝนไม่ต้องตกมาเป็นทองคำ เราก็อยู่เป็นผาสุกได้

แล้วรัฐบาลไหนในโลกที่ว่าจะจัดเศรษฐกิจให้วิเศษเทียบเท่ากันได้กับฝนตกลงมาเป็นทองคำ…ไม่มี ไม่มีรัฐบาลไหนจะสามารถจัดเศรษฐกิจในประเทศได้ถึงขนาดนั้น นี่เราท้าว่าแม้ถึงจัดได้ขนาดนั้น คนมันก็ยังไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพ

เพราะมันไม่มีศีลธรรม มันเห็นแก่ตัว มันไม่รักใคร เศรษฐกิจนั่นแหละจะเป็นพิษร้าย ถ้าไม่มีศีลธรรม

ถ้าไม่มีศีลธรรมแล้ว

เศรษฐกิจนั้นแหละ

มันจะฆ่ามนุษย์

…………………………………………………….

ฝนทองคำ

 

ให้ฝนตกลงมาเป็นทองคำ

ฝนทุกเม็ดค่าล้ำทองคำวิสุทธิ์

โลกไม่มีศีลธรรม ยิ่งต่ำทรุด

พวกมนุษย์จะฆ่าแกงแย่งทองคำ

 

ใครที่เก็บทองคำไว้ได้มาก

ยิ่งทุกข์ยากยิ่งโดนปล้นกระหน่ำ

ถ้าคนมันไม่มีศีลธรรมนำ

ฝนทองทำอะไร ไม่ได้เลย

 

ไร้ศีลธรรม คนก็จักไม่รักใคร

แก้ปัญหาไม่ได้ จริงเจียวเหวย

แต่ถ้ามีศีลธรรมค้ำคูณเคย

ฝนทองคำไม่ต้องเกยก็สุขดี

 

กระทั่งรัฐจัดสรรค์การเศรษฐกิจ

ผลสัมฤทธิ์เป็นเลิศประเสริฐศรี

เหมือนมีฝนทองคำฉ่ำชีวี

คนไม่มีศีลธรรม ก็ต่ำทราม

 

เมื่อนั้นแหละ เศรษฐกิจคือพิษร้าย

เศรษฐกิจจะกลายเป็นไหน่หนาม

ถ้าไม่มีศีลธรรมความดีงาม

เศรษฐกิจมันจะตาม…ฆ่ามนุษย์!

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์