“เพื่อไทย” ชี้ ทูต 5 ประเทศแนะอีกรอบ สะท้อนรัฐบาลอาการหนัก จี้ปรับประเทศสู่ดิจิตัล แก้ซ้ำซ้อน-ลดขนาด

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ สส. หนองคาย คณะทำงานทีมเศรษฐกิจพรรรเพื่อไทยกล่าวว่า ตามที่ทูด 5 ประเทศที่ประกอบด้วย สหรัฐ อังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และ เยอรมัน ได้ออกมาแนะนำรัฐบาล 10 ข้อ ดังนี้ 1.ให้ลดขั้นตอนพิธีการศุลกากรการค้าผ่านแดนสู่ระบบดิจิทัล 2.จัดตั้งพิธีการศุลกากรตามระบบบัญชี ที่สามารถระบุความเสี่ยง และทำให้ระบบประมวลภาษีศุลกากรทันสมัย 3. ดำเนินโครงการทบทวนการอนุญาตของทางราชการ ทบทวนกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำจัดความซ้ำซ้อน 4.เพิ่มแพลตฟอร์มรูปแบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้กระบวนการทำงานอยู่บนระบบออนไลน์ภายในปี 2568

กลุ่มเอกอัครราชทูตทั้ง 5 ชาติ ยังได้กล่าวถึงข้อเสนอแนะต่อไปด้วยว่า ลำดับที่ 5.ให้ลดความซับซ้อนในการสมัครขอรับการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ 6.สร้างสภาพแวดล้อมเพื่อเดินหน้าสู่การค้าดิจิทัล 7.ปฏิรูปข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับแรงงานฝีมือชาวต่างชาติ และลดขั้นตอนขอวีซ่าสำหรับแรงงานฝีมือ 8.เน้นความสำคัญของความโปร่งใสเพื่อคลี่คลายข้อพิพาท 9.ปรับปรุงกระบวนบังคับคดีล้มละลาย รวมทั้งตีพิมพ์และจัดทำดัชนีกฎหมายว่าด้วยการล้มละลายทั้งหมด 10.เพิ่มกระบวนการดิจิทัลในการอนุมัติขององค์การอาหารและยาออกเอกสารแบบดิจิทัล และรับลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการแนะนำครั้งที่ 2 แล้วหลังจากที่แนะนำครั้งแรกในเดือนตุลาคม แสดงให้เห็นว่า ประเทศที่เป็นคู่ค่าหลักของไทยมีความเป็นห่วงการบริหารประเทศของรัฐบาลอย่างมาก และเชื่อว่าการบริหารประเทศคงมีปัญหามาก ที่น่าจะมีปัญหาความไม่โปร่งใส ความล่าหลังทางด้านดิจิตอล มีหน่วยงานซ้ำซ้อน ทำให้ล่าช้า และอาจะมีการทุจริตคอรัปชั่นเพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ เงินใต้โต๊ะ ซึ่งเป็นปัญหาของระบบราชการไทยมาโดยตลอด

พรรคเพื่อไทยจึงอยากเสนอให้ปรับระบบราชการเป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด (Digitalization) เพื่อลดการซ้ำซ้อนของหน่วยงาน ลดขนาดราชการให้เล็กลง และขจัดการทุจริตคอรัปชั่น การเรียกเงินใต้โต๊ะให้หมดไป ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย นอกจากนี้จะเป็น platform เพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดธุรกิจด้านเทคโนโลยีได้อย่างแท้จริง และพัฒนาให้ประเทศไทยมีบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงหรือ ที่เรียกกันว่า ยูนิคอร์นได้ ซึ่งจะแก้ไขปัญหา 10 ข้อที่ทูต 5 ประเทศแนะนำมา และจะทำความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยขึ้นมาอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ หลังจากที่ความสะดวกในการทำธุรกิจของไทยทรุดหนักหลังการปฏิวัติลงไปอยู่อันดับที่ 46 และ 49 ก่อนหน้านี้ และถึงแม้ดีขึ้นมาก็ยังไม่เท่าที่เดิม เพราะก่อนปฏิวัติไทยไม่เคยต่ำกว่าอันดับที่ 19 เลย จึงอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปรับปรุง อย่าให้ทูตของประเทศคู่ค้าหลักต้องออกมาสอนมวยอีกเป็นครั้งที่ 3

ในประเด็นที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลได้แถลงชี้แจงนั้น ในฐานะที่ตนเคยเป็รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม ตนอยากฝากเรื่องการช่วยเหลือ ธุรกิจ SMEs ที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะขาดสภาพคล่อง และจะปิดกิจการกันอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้เกิดการว่างงาน และ หนี้เสีย ซึ่งรัฐบาลควรเข้าช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน อีกทั้งอยากขอเรียกร้องไปยังแบงค์ชาติให้ดูแลค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลงเพื่อให้ SMEs ด้านการส่งออกได้สามารถแข่งขันทางราคาได้ เพื่อให้สามารถฟื้นฟูธุรกิจที่กำลังย่ำแย่อยู่ให้ประคองตัวได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

ในวิกฤตเศรษฐกิจนี้ รัฐบาลจะต้องคิดให้ครบทุกกรอบ จะมาวาดฝันอย่างสวยหรูแต่ไม่สามารถทำให้เกิดผลอย่างแท้จริงได้แล้ว เพราะประชาชนไม่สามารถทนแบกรับปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้าเนื่องจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาลได้อีกต่อไปแล้ว