ฉัตรสุมาลย์ : นัยยะของการเปลือย!

หลายปีก่อน ในช่วงของการภาวนา ผู้เขียนเคยเขียนบทกวีด้วยจินตนภาพว่าตนเองกำลังยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เปลือย!

เป็นการแสดงออกด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ว่าขณะที่ยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้านั้น เราไม่มีอะไรปกปิด หรือปิดบังจากพระเจ้า แม้ว่าเราจะพยายามปิดบังอย่างไร พระองค์ย่อมรู้เห็นแทงตลอดทั้งกายและจิตของเราอยู่นั่นเอง

ความสามารถที่จะเปลือย และยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์นั้น เป็นการแสดงความเคารพสูงสุด

เปลือยจากความเสแสร้ง เปลือยจากการปกปิด เปลือยจากความไม่จริงใจทั้งหลายที่แสดงออกมาทางประเพณี

การกระทำบางอย่างของมนุษย์ที่เราพบเจอ ภายใต้คำอธิบายว่า “เกรงใจ” ผู้เขียนก็เห็นว่า บางครั้งเป็นรูปแบบที่ละเมียดของความไม่จริงใจ

ในศาสนาคริสต์ เมื่อเราน้อมของถวายในมือของเรา แต่หากเรายังรังเกียจเดียดฉันท์พี่น้องของเราเอง พระเยซูทรงสอนว่า ให้กลับไปบ้าน คืนดีกับพี่น้องเสียก่อน แล้วค่อยเอาของมาถวายพระเจ้า

ในบริบทนี้ ที่ผู้เขียนมีจินตนภาพถึงการเปลือย ว่าเป็นการถวายความเคารพสูงสุดต่อพระเจ้า

 

เมื่อสองวันก่อนมีพี่น้องที่มาจากพัทยา มาจากหน่วยงานของศาสนาคริสต์ ท่านธัมมนันทาสอนให้อธิษฐาน และพูดว่าแรงอธิษฐานนั้น สามารถเป็นจริงได้

ในบริบทนี้ มีปัจจัยอีกสองตัวที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ

ประการแรก คือความศรัทธา ศรัทธาทางศาสนานั้นมีผลมหาศาล ดูผลงานของโลกของศิลปินที่ทำงานด้วยความยากลำบากที่เราเห็นทั้งในประวัติศาสตร์ทางตะวันตกและตะวันออก จะเป็นงานทางศาสนาทั้งสิ้น นั่นแปลว่า อิทธิพลของศรัทธาทางศาสนานั้น มหาศาลยิ่งนัก

ปัจจัยที่จะทำให้อธิษฐานเป็นจริงที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือ สัจจะ สัจจะบารมีจะมาคู่กันกับอธิษฐานบารมีเสมอ

อธิษฐานจะไม่ส่งผล ถ้าไม่มีสัจจะเป็นฐาน เหมือนกับเราไปกู้เงินธนาคาร กู้ได้ แต่จะได้เงินก็ต่อเมื่อเรามีเงินในธนาคาร หรือมีเครดิต เครดิตเป็นความเชื่อที่ธนาคารมีกับเรา เพราะที่ผ่านมาเรามีสัจจะให้เขาเห็น

สัจจะคือความจริงใจ ที่ส่งผลทางวาจาและกาย คิดจริง พูดจริง และทำจริง เมื่อเราทำบ่อยๆ สะสมเพิ่มพูนเป็นบารมี

อธิษฐานเป็นการตั้งจิตมั่นในความประสงค์ที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เป็นผล

การที่เราสามารถเข้าไปหาพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด เปลือย คือภาวะที่บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์อย่างที่สุด ตั้งจิตอธิษฐานให้มั่นคง ย่อมบรรลุผลได้จริง

 

ที่ลุกขึ้นมาเขียนเป็นตุเป็นตะเรื่องเปลือยนี้ เพราะได้เห็นบทความในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ พูดถึงรายการทีวีของชาวเดนมาร์ก ที่จัดเวทีให้ผู้คนหลากเพศ สีผิว และอายุ มายืนเปลือยบนเวที รายการนี้ได้รับรางวัลด้วย

ผู้ชมคือนักเรียนวัย 10-13 ปี

เออ เขาทำทำไม

ภาพที่เห็น คือ ผู้ชายตัวเตี้ยผิดธรรมดา ผู้หญิงผิวขาวในวัย 70 กว่า ผู้ชายผิวสี ผู้หญิงวัย 30 กว่า สักบนร่างกายบางส่วน ผู้หญิงผิวขาววัย 50 กว่า

ทั้งหมดนี้ เปลือย และยืนนิ่งเป็นหุ่นมีชีวิต

เพื่อการศึกษา

ศึกษาเรื่องอะไร

สังคมในโลกโซเชียล เน้นในเรื่องร่างกายที่สวยงาย นางงามเดินประกวดบนเวที โฆษณาอาหารเพื่อสุขภาพที่จะทำให้ผอมเรียว หุ่นดี โฆษณาครีมบำรุงผิวให้ขาวนวล เน้นความขาว ความขาวคือความงามที่พึงใจ ครีมทาหน้าเพื่อผิวที่เต่งตึง รังเกียจผิวที่เหี่ยวย่น เน้นผิวที่เต่งตึง ฯลฯ

เด็กๆ เสพข้อมูลจากโลกโซเชียล ถูกทำให้เชื่อโดยโฆษณาที่มาบ่อยและถี่กว่าคำสอนจากพ่อ-แม่หรือครู

ร่างกาย เรารู้ในเรื่องร่างกายของเรามากน้อยเพียงใด

ครูและพ่อ-แม่ พูดกับนักเรียนหรือลูกอย่างไรในเรื่องร่างกาย เพศสภาพ การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ตลอดไปจนถึงเพศสัมพันธ์ ฯลฯ

เรื่องจริงที่ลูกเราจะต้องรับรู้ แต่เราไม่ได้ให้การศึกษาแก่เขาอย่างถูกต้อง จริงๆ แล้วในบางครอบครัว เราไม่พูดกับเขาเลย แล้วหวังว่าเขาจะรู้เอง

เขาก็รู้จากเพื่อนๆ ลองผิดลองถูก

รายการเปลือยนี้จึงเกิดขึ้น ใช้ได้กับสังคมชาวเดน เพราะโดยบริบทสังคมเป็นสังคมที่เปิดกว้าง กล้าพูด กล้าถาม กล้าลอง

 

บนเวทีที่ว่านี้ ผู้เข้าร่วมที่จะเป็นหุ่นให้นักเรียนได้ศึกษานั้น ทุกคนมีความเข้าใจในคอนเซ็ปต์ของรายการ ทุกคนสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ ทุกคนจึงมีความพร้อมทั้งกายและใจ ทุกคนใส่เสื้อคลุม เหมือนกับเสื้อคลุมอาบน้ำ

ผู้ชม คือนักเรียนวัย 10-13 ที่ผู้ปกครองรับทราบและอนุญาตให้นักเรียนเข้าร่วมในรายการอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร

พิธีกรเป็นคนสำคัญที่สุด จะเป็นคนกำกับเวที อธิบายบริบทของสังคมที่มีการนำเสนอรูปกายของมนุษย์ที่สวยงาม ผู้หญิงก็ต้องสูงโปร่ง เอวคอด สะโพกผาย มีหน้าอกได้สัดส่วน ประมาณ 36-24-36 นิ้ว

ร่างกายของผู้ชายก็ต้องสูงสมาร์ต มีกล้ามที่ได้รูป มีซิกซ์แพ็กชนิดที่สาวๆ ร้องเชียร์ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนน้อย แต่ถูกนำเสนอว่าปกติทั่วไปต้องเป็นอย่างนี้ ต่างไปจากนี้ ไม่ดี ไม่งาม ไม่มีคุณค่า น่าละอาย

แต่ในความเป็นจริง เด็กๆ ได้สัมผัสเองว่า รูปร่างของคนที่ต่างไปจากนี้ ก็เป็นปกติ และส่วนมากก็ไม่ได้เป็นอย่างหุ่นนางงาม ชายงามด้วย

เพื่อเตรียมใจของนักเรียนแล้ว พิธีกรขอให้หุ่นที่ยืนอยู่บนเวที ถอดเสื้อคลุมลงกองกับพื้น ทุกคนทำราวกับเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติ

สายตาทุกคู่เพ่งมองมาที่หุ่นมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้า เปลือย

 

หุ่นไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ที่จะเบี่ยงเบนความรู้สึกของเด็กมากไปกว่า ความเป็นธรรมชาติ เหมือนที่เด็กๆ เองถอดเสื้อผ้าออกเพื่อก้าวลงอ่างอาบน้ำที่บ้าน

ภายในห้องนั้น เงียบกริบจนแทบจะได้ยินหากใครทำเข็มหล่นสักเล่ม

ทิ้งช่วงเวลาให้เด็กได้ซึมซับภาพที่เห็น แล้วพิธีกรเริ่มนำเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ถามหุ่นแต่ละคน

นักเรียนได้เรียนรู้จากหุ่นมีชีวิตบนเวทีว่า It”s O.K. to be different หากเราต่างจากคนอื่นก็โอเคนะ ชายรูปร่างเตี้ยกว่ามาตรฐาน เขาก็รู้สึกโอเค และเราก็ควรยอมรับเขาในความต่างนั้น

คำถามหนึ่ง บางทีท่านผู้อ่านในวัยหนุ่ม-สาวก็อาจจะอยากถาม ขนที่อวัยวะเพศขึ้นเมื่อไร ขนที่รักแร้ขึ้นเมื่อไร และขนที่รักแร้และที่อวัยวะเพศนั้นมีความต่างกันไหม

ขนที่รักแร้จะเริ่มขึ้นในวัยหนุ่มสาว และหมดไปเมื่อเข้าสู่วัยชรา ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน อาจจะไม่รู้ตัว พอรู้ตัวอีกทีก็ไม่มีขนรักแร้แล้ว ขนรักแร้ไม่เป็นภาระอีกต่อไป

ขนที่อวัยวะเพศอยู่กับร่างกายไปจนแก่เฒ่า ผมบนศีรษะหงอก ขนเหนืออวัยวะเพศก็หงอกตามไปด้วย แต่ไม่ได้หายไปดังเช่นขนรักแร้

นี่เพียงเรื่องขน เห็นไหมว่า เด็กสนใจอยากรู้เรื่องซื่อๆ แต่เราปกปิดทำเป็นเรื่องลี้ลับ

 

เด็กหญิงหลายคนในบ้านเราไม่รู้เรื่องประจำเดือนเลย แต่เมื่อเขารุ่นสาว เขาต้องมีประจำเดือน ประจำเดือนมันคืออะไร มันเป็นหมายของอะไร เราเคยได้พูดกันไหม พูดกับลูกในลักษณะของการให้ข้อมูล พูดซื่อๆ เหมือนกับที่หุ่นมนุษย์มายืนเปลือยให้เด็กดู เพื่อให้เห็นความแตกต่าง และเกิดการยอมรับความแตกต่างนั้น

พวกชีเปลือยในอินเดียนั้นก็เป็นการสอนศาสนาขั้นสูงเหมือนกัน สอนด้วยการเปลือย ในการเปลือยนั้นมีนัยยะที่ลึกซึ้งอยู่

คงต้องเป็นบทความอีกบทหนึ่งต่างหาก

 

วันนี้ เพียงอยากชื่นชมในความคิดและความพยายามของชาวเดนที่ให้การศึกษาเรื่องร่างกายกับเด็กที่ได้ผลสูง จนรายการได้รับรางวัลว่าเป็นรายการดีเด่นในการให้การศึกษากับเยาวชนชาวเดน

ไม่ได้สนับสนุนให้เปลือย แต่อยากจะให้มุมมองของการเปลือย จากมุมมองของสภาวะจิต ที่สงบ ยอมรับความต่างที่เป็นธรรมชาติ เด็กหลายคนอาจจะมีรูปร่างที่ไม่เป๊ะเว่อร์ ก็จะยอมรับตัวเองได้ ไม่ต้องเกิดความรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า จากการกดทับซ้ำๆ ของค่านิยมที่มาจากสื่อ

ให้เด็กๆ ก้าวข้ามความแตกต่างทางกาย ไปสู่การยกระดับจิตไปมองความแตกต่างทางความคิด และความรู้สึก ด้วยความเคารพ มีความอ่อนน้อมเป็นพื้นฐาน เข้าใจในความต่างของเรา และเข้าใจในความต่างของเขา เราจะก้าวข้ามความต่าง และนำไปสู่การสังเคราะห์ความต่างของเขากับของเราได้

เพื่อเป็นหนทางในการพัฒนาตนและสังคมในภาพรวม