เรื่องสั้น | หนีตาย

“มึงคิดว่าจะหนีพ้นหรือไอ้แก่”

เสือขิงตะโกนข่มขวัญ ปืนในมือชี้เป้าหมายที่ร่างชายชราซึ่งวิ่งอยู่ข้างหน้าประมาณไม่มาก กว่าร้อยเมตร แต่เพราะเหยื่อวิ่งลัดเลาะไปตามต้นไม้และเนินดิน ถึงยิงไปก็ไม่แม่นพอ

เสือขิงยิงขึ้นฟ้าเปรี้ยง

“มึงตายแน่ไอ้แก่”

ทั้งเสียงปืนและคำรามขู่ขวัญของเสือขิง ทำให้ตาคลิ้งวิ่งไปข้างหน้า เหงื่อท่วมหลัง เหนื่อยแสนเหนื่อย แต่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากวิ่งหนีตาย

ตาคลิ้งเป็นชาวบ้านธรรมดา บังเอิญแกไปรู้มาว่า การทำเหมืองของผู้มีอิทธิพล มีสารบางอย่างที่ทำให้เกิดอันตรายกับชาวบ้าน แกกับลูกชายจึงร่วมมือกันบอกข้อมูลชาวบ้านผ่านทุกทาง รวมทั้งใบปลิว ผู้มีอิทธิพลจึงสั่งกำนันตามล่าตาคลิ้ง ให้เสือขิงจัดการรับหน้าที่เป็นมือสังหาร

“มึงต้องหยุดปากไอ้แก่ไว้ให้ได้” กำนันสั่ง

“ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องกระทืบคนแก่น่ะ ชำนาญอยู่แล้ว”

และนั่นเป็นที่มาที่ตาคลิ้งต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน โดยมีเสือขิงวิ่งไว หน้าตาดุดัน เสียงข่มขู่ดุร้ายปานปีศาจ

“หยุดนะไอ้แก่ ถ้าไม่หยุดกูยิง”

ตาคลิ้งกลัวตัวสั่น แกอายุ 70 กว่าแล้ว แถมเป็นความดันโลหิตสูงอีกด้วย แกรู้ตัวดีว่าแกต้องหนีตายไว้ก่อน ถ้าหันหน้าสู้ มือเปล่าอย่างแกหรือจะสู้เด็กหนุ่มร่างใหญ่อย่างเสือขิงที่มีปืนสั้นกระสุนเต็มแม็กได้

แกมองไปข้างหน้า แม้จะพอมีหนทางให้หนีได้อีก แต่แกกำลังจะหมดแรง วินาทีนั้นแกหลบเข้าข้างทางซุกตัวอยู่ในพุ่มใกล้ที่สุด นอนราบกับพื้น หายใจแรงด้วยความเหนื่อยสุดๆ แต่แกต้องหายใจให้ค่อยที่สุด ถ้าเก็บเสียงหายใจได้ก็รอด แกคิด

เสือขิงวิ่งผ่านหยุดหมุนตัวหาแกอยู่ใกล้ๆ แกเกือบจะกลั้นหายใจถ้าทำได้ เห็นมันเดินหมุนไปมา

“ออกมานะไอ้แก่” มันตะกอก “กูรู้มึงหลบอยู่แถวนี้แหละ” มันกระแทกเสียง “ออกมาไอ้แก่”

เรื่องอะไรตาคลิ้งจะออกไปหากระบอกปืนในมือเสือร้ายที่ฆ่าคนอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย

แต่แกก็พลาด เมื่อไปทับกิ่งไม้แห้งเสียงดัง

“อยู่นี่เอง ไอ้แก่….” มันจ้องปืนเขม็ง “ออกมาซะดีๆ”

มันก้าวสวบๆ เข้ามาลากคอเสื้อตาคลิ้งออกจากที่ซ่อน ตบด้วยปืนในมือจนตาคลิ้งกระเด็นไปกอง

“มึงตายก่อนไอ้แก่ แล้วลูกชายมึงเดี๋ยวกูจะดับซ่ามันทีหลัง”

“อย่า อย่าทำกู” ตาคลิ้งร้องขอชีวิต

พลางมองหาช่องทางที่จะเอาตัวรอดจากปืนที่จ่ออยู่ตรงหน้า เสือขิงจ้องเขม็ง ไร้ความเมตตา และไม่ลังเลที่จะเหนี่ยวไก

“เฮ้ย หยุดนะ”

เสียงทัพตะโกนมาอีกทางหนึ่ง ทำให้เสือขิงวาดปืนไปทางนั้น เจ้าของเสียงห้ามคือทัพลูกชายตาคลิ้ง เขามีปืนในมือ แต่เขาใม่ใช่นักฆ่า เป็นนักสู้เพื่อความถูกต้องเท่านั้น

มือที่ถือปืนจ้องกับเสือขิงสั่นระริก

“ดีมึงมาหาที่ตายพร้อมพ่อมึง จัดไป” เสือขิงกระแทกเสียงหัวเราะอย่างผู้ชนะ ส่งกระสุนปืนเข้าหน้าอกทัพได้อย่างแม่นยำ

ตาคลิ้งผลักเสือขิงเซไปแล้ว วิ่งไปประคองลูกชายที่นอนเลือดทะลัก

เสียงปืนทำให้ชาวบ้านในออกมา เสือขิงหนีไป ปล่อยให้ตาคลิ้งกอดศพลูกชายน้ำตาริน สะอื้นไห้

แกนึกถึงเมื่อตอนเช้าเจ้าลูกชายจะออกไปแจกใบปลิว มาถามหาปืน เพื่อจะเอาไปป้องกันตัว ตาคลิ้งให้ปืนลูกชายไปหวังว่าจะเป็นเกราะป้องกันอันตราย เจ้าลูกชายเข้ามากอดแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า แกเพิ่งนึกได้ว่าความผิดปกตินั้นเสมือนเป็นลางที่ทำให้ลูกชายคนเดียวของแกต้องจากไป

เขามาในวินาทีที่เสือขิงจะลั่นกระสุน เขาตายแทนพ่อ

ตาคลิ้งลูบหัวลูกชายน้ำตาไหล แต่เลือดจากบาดแผลที่ทัพถูกยิงก็หนักกว่า ทัพขาดใจแล้ว ตาคลิ้งรู้ แกกอดลูกชายไว้แน่น ชาวบ้านต้องมาให้กำลังใจแก บางคนให้ตามมูลนิธิมาเก็บศพทัพ

ปืนเก่าแก่ของตาคลิ้งตกข้างลำตัวทัพ ใบปลิวที่ยังแจกไม่หมดหล่นปนกับเลือด เลือดของคนที่รักความถูกต้อง เลือดของเด็กหนุ่มที่หาญกล้าที่จะต่อต้านพฤติกรรมของผู้มีอิทธิพล

น้ำตาของผู้เฒ่าเอ่อออกมาอีก มันเป็นน้ำตาของความภูมิใจในการต้องเสียชีวิตเพื่อส่วนรวม เพื่อท้องถิ่น

“พ่อภูมิใจเอ็ง ไอ้ลูกรัก”

แกพูดทั้งน้ำตา เสียงสะอื้นอยู่ในอก

สิ้นเสียงผู้กำกับฯ คัต ทัพก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ทั้งทัพและตาคลิ้งได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เสือขิงกลับเข้ามายกมือไหว้ตาคลิ้ง ซึ่งชีวิตจริงเป็นนักเขียน แกไม่ใช่นักแสดง แต่แกชอบ

“ขอโทษนะอา” เสือขิงซึ่งย้อนชีวิตไปยุคเทปคาสเส็ต เขาเป็นนักร้องยอดนิยม ที่ตาคลิ้งเป็นแฟนเพลงคนหนึ่ง

“ไม่เป็นไร มันเป็นการแสดง เราต่างต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”

ทัพลุกขึ้นมีคนพาไปล้างเลือด ทีมงานประคองตาคลิ้งให้ลุกขึ้น ผู้กำกับการแสดงเดินมาหา เขายกมือไหว้

“ขอโทษนะอา วันนี้เหนื่อยหน่อย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ตาคลิ้งโบกมือให้

“ไม่มีปัญหา ผู้กำกับฯ พอใจก็โอเค”

ได้เวลาพักกอง นักข่าวเข้ามาหาตาคลิ้งที่คืนสภาพสู่ตัวตนที่แท้จริงแล้ว

“เป็นนักวิจารณ์บันเทิง เป็นนักเขียน อาคิดยังไงมาเล่นละคร วิ่งหนีซมซานแบบนี้” นักข่าวรุ่นลูกยิงคำถาม

“เราเป็นคนที่เคยเขียนวิจารณ์หนัง วิจารณ์ละคร พอเขาติดต่อให้มาเล่น ก็ชอบ เป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นเขาทำงาน แล้วเรียนรู้ว่า การเป็นนักแสดงที่ตัวละครนั่นไม่ใช่เรา ทำอย่างไรให้คนดูเชื่อว่า นั่นแหละใช่” แกตอบมั่นใจ

“เหนื่อยสิครับ ที่ต้องรับบทหนีตายแบบนั้น”

“ใช่ เหนื่อยจริงๆ แต่ทนได้”

“ดูภาพอาเมื่อตอนถ่ายทำวิ่งหนีเหมือนจะขาดใจ เหนื่อยมาก”

“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น หนีตาย ต้องหนีสุดชีวิต กลัวก็ต้องกลัวให้จริง ลูกถูกยิงตายก็ต้องตกใจ เสียใจให้คนดูเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง”

นักข่าวยิ้มก่อนจะยิงคำถามต่อไปอีก

“แล้วการมาเล่นละคร มันมีผลอะไรต่อความเป็นนักเขียนนักวิจารณ์ของอาครับ”

“มาร่วมงานในกองถ่ายทำให้เห็นของจริง เบื้องหลังการทำงานก่อนจะไปปรากฏเป็นผลงานในจอ เขาลำบากมาก ความจริงที่เห็นทำให้เราเข้าใจมาก ความจริงที่เห็นทำให้เราเข้าใจ และเห็นใจ เมื่อเห็นความไม่สมบูรณ์ปรากฏในจอ เราก็รู้สึกไม่ตำหนิให้คนตั้งใจทำงานเสียกำลังใจ”

“นั่นสิครับ ระยะหลังมานี้ ข้อเขียนวิจารณ์ละครหรือหนังไทย อาไม่ติ มีแต่ชม”

“ข้อติมันก็มี แต่ไม่เขียน เพราะเข้าใจว่าเขาติดเงื่อนไขอะไรในการทำงาน ข้อดีมีมากมายให้กำลังใจกันดีกว่า คนทำหนัง คนทำละครบ้านเรา ก็อยู่ในอาการหนีตายเหมือนตาคลิ้งนั่นแหละ”

ท้ายที่สุดนักแสดงสมัครเล่นเสริมว่า

“ทุกประสบการณ์ของชีวิต เป็นวัตถุดิบที่ดีของคนเป็นนักเขียน การมาวิ่งหนีตาย ได้เห็นการทำงาน ต้องเป็นตัวละครที่กลัวตายสุดขีด แล้วก็เสียใจที่สุด แบบยากที่จะอธิบายอีกเมื่อลูกถูกยิงตาย ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด ไอ้ทัพมันรักท้องถิ่น เมื่อเห็นอะไรไม่ถูกต้อง มันได้ข้อมูลมา มันก็มาบอกคนในท้องถิ่นรับรู้แล้วมันก็โดนผู้มีอำนาจตามเก็บก็จบลงแบบนี้ มันไม่ใช่แค่ในละคร ชีวิตจริงๆ เราก็เห็นว่ามีอยู่จริง คนมีอำนาจทำสิ่งผิดๆ ไม่มีคนกล้าแตะต้อง ใครๆ ก็กลัวเจ็บ กลัวตาย ตายแล้วก็ตายฟรี ไม่มีใครกล้าหือกับผู้มีอำนาจ คุณว่าจริงไหม”

นักข่าวไม่ตอบ

หลบสายตา ก้มหน้า และยุติการสัมภาษณ์

“ขอบคุณครับอา”

เขายกมือไหว้ ก่อนจะลาจากไป