เผยแพร่ |
---|
เมื่อเห็นการประกาศตัวของแกนนำของพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แกนนำของมวลมหาประชาชนกปปส.
ระดมมวลชนไม่ว่าจะที่ท้องสนามหลวง ไม่ว่าจะที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เด่นชัดอย่างยิ่งว่าต้องการขวาง “คณะราษฎร 2563”
กลิ่นอายแห่งรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 กลิ่นอายแห่ง รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก็โชยกรุ่นจากลานพระบรมรูปทรงม้ายันท้องสนามหลวง
เป้าหมายของคำประกาศเหล่านี้มีความแจ่มแจ้งว่าต้องการจัดกำลังเพื่อบดขยี้และทำให้ภาพการชุมนุมของเยาวชน นักเรียน นิสิตนักศึกษา ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ดำรงอยู่อย่างเป็นแซนด์วิช
ถูกประกบจากพลังอันเคยเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และมวลมหาประชาชนกปปส.
ในที่สุดก็นำไปสู่”รัฐประหาร”เหมือนเมื่อปี 2549 และ 2557
เพราะว่าหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 คมช.ก็ประกาศว่า ไม่ต้องการให้มีการปะทะระหว่างมวลชนต่างความคิดที่ออกมาเคลื่อนไหวเผชิญหน้ากัน
เช่นเดียวกับคำประกาศหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557 คือไม่ต้องการให้ความขัดแย้งขยายตัวบานปลาย
คำถามก็คือ แล้ว”ความขัดแย้ง”ได้จบตามคำประกาศหรือไม่
คำตอบเรื่องนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคมช.รู้ดีที่สุด คำตอบเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และนายกรัฐ มนตรีในปัจจุบันรู้ดีที่สุด
เพราะคนที่ออกมาประกาศดับเครื่องชนกับ”คณะราษฎร 2563” ในวันนี้ก็ล้วนเคยมีบทบาทอยู่กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่กับมวลมหาประชาชนกปปส.
ในที่สุด วงจรทางการเมืองก็วนกลับไปที่เก่าสถานการณ์เดิม
ข่าวลือในเรื่อง”รัฐประหาร”จึงโชยออกมาเป็นระยะเหมือนกับก่อนเดือนกันยายน 2549 ก่อนเดือนพฤษภาคม 2557
ถามว่ารัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ผลเป็นอย่างไร คำตอบเห็นได้จากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 อันนำมายังสถานการณ์ในเดือนตุลาคม 2563
คำว่า”เสียของ”จึงกลายเป็นบทสรุปอันซ้ำซากไม่แปรเปลี่ยน
เพียงแต่จะโยนความผิดให้กับใครจึงจะทำให้เกิดความเหมาะสมชอบธรรมเท่านั้น
เป็นกลิ่นอายอันโหมฮือกระพือขึ้นจากวันที่ 14 ตุลาคม