วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร /ความจริงอันร้ายกาจ ความจริงอันเจ็บปวด (58)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

 

ความจริงอันร้ายกาจ ความจริงอันเจ็บปวด (58)

 

เหมยฉางซูที่ในบ้านอยู่ในลักษณะตั้งรับอย่างแน่นอน กระนั้น ยังเป็นการตั้งรับในลักษณะรุก รุกผ่านหน้าไม้คันศรแดง สายดำ แกนชักขาวปลอด ลวดลายบนคันศรแลคล้ายหยดหยาดน้ำตา

“นี่ก็คือ หน้าไม้ ‘วาดไม่เสร็จ’ จัดสร้างขึ้นโดยตระกูลปัน” เป็นคำอธิบายด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “นครจินหลิงแตกต่างจากที่อื่นจริงๆ ถึงกับบีบให้ข้าต้องใช้มัน”

ปรากฏซากศพหัวหน้าคนร้ายนอนเหยียดไม่ไกลจากปลายเท้า

ลูกศรขนาดเล็กกะทัดรัดดอกหนึ่งปักกลางคอหอย แม้บริเวณหน้าอกแดงเถือกด้วยโลหิต แต่เห็นชัดว่านั่นเป็นโลหิตอันพ่นจากปากตอนถูกพลังฝ่ามือเซียวจิ่งรุ่ย ส่วนบาดแผลที่คอหอยเนื่องจากสภาวะลูกศรที่พุ่งปราดรวดเร็วและรุนแรง

จึงฝังจมใต้เนื้อหนังแน่นหนา ไม่ปรากฏรอยโลหิตแม้แต่น้อย ทำให้พอนึกภาพออกว่า คนที่นั่งขัดสมาธิในความมืดตอนนั้นมีสายตาที่แม่นยำและมือแน่วนิ่งปานใด

“ท่านอย่าดูดีกว่า”

เมื่อเห็นเซียวจิ่งรุ่ยทำท่าจะเปิดผ้าดำคลุมหน้าของผู้ตายออก เหมยฉางซูจึงเอ่ยปรามเบาๆ ขณะนิ้วมือเซียวจิ่งรุ่ยจับแน่นที่ปลายด้านหนึ่งของผ้าคลุมหน้า

“ท่านอย่าดูดีกว่า” ยังเป็นการปรามจากเหมยฉางซู

 

“ไห่เยี่ยน” บรรยายตามสำนวน “ลีหลิน ลี่” ว่า คนร้ายนอนตายอยู่ตรงหน้า รูปโฉมถูกบดบังไว้ภายใต้ผ้าคลุมดำ จะเปิดหรือไม่เปิดล้วนเป็นใบหน้าเดียวกัน ก็เหมือนกับความจริงบางประการ ไม่ว่าตัวเองจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ความจริงเหล่านั้นยังคงดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์

ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้

เซียวจิ่งรุ่ยกัดฟันกรอด สุดท้ายยังคงเปิดผ้าคลุมหน้าอันบางเบาประหนึ่งวัตถุไร้สภาพ แต่ก็เหมือนหนักอึ้งดังศิลาพันชั่ง

เพียงปราดแรกที่เห็น แววตาก็กระตุกวูบ

นิ้วมือค่อยๆ ม้วนแน่นเป็นกำปั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก เกร็ง เพราะนั่นเป็นใบหน้าหนึ่ง ทั้งแลดูแปลกหน้า ทั้งแลดูคุ้นตา

ที่ว่าแปลกหน้าเป็นเพราะไม่เคยทักทายพูดคุย ไม่รู้ชื่อแซ่ ไม่รู้ตำแหน่งฐานะ

ที่ว่าคุ้นตาเป็นเพราะพบเห็นบ่อยๆ เพราะคือคนที่คอยติดตามอยู่ข้างกายบิดา รับฟังคำสั่งและปฏิบัติภารกิจเล็กๆ น้อยๆ ทั่วไป

ชั่ววูบความเหงาเงียบ วังเวง ประหนึ่งแหตาข่ายถักทอถี่ยิบ บีบรัดหัวใจทีละนิด ทีละนิด

ยิ่งเป็นความวิเวกอันบริสุทธิ์ ยิ่งได้ยินสรรพสำเนียงแต่ละชนิดแจ่มชัด เสียงลมหวีดหวิว เสียงหิมะพร่างพรม เสียงหัวใจเต้นตึกตัก ตึกตัก เสียงหายใจเข้า เสียงหายใจออก

เสียงที่ไม่ควรได้ยินล้วนได้ยินจนสิ้น เสียงที่ควรได้ยินกลับไม่ได้ยินแม้สักแว่ว

 

สภาพความเป็นจริงก็คือ เฟยหลิวที่อยู่นอกเรือนได้จัดการกับเหล่าคนร้ายทั้งหมดเรียบร้อยไปนานแล้ว แต่ยังไม่กลับเข้ามา

กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งค่อยๆ จางหายไปกับสายลมยามราตรีจนหมด

แปลกยิ่งนักที่ไม่มีผู้ใดรุดมาช่วย ไม่มีแม้กระทั่งสักคนที่จะวิ่งมาชมดู ทั้งจวนตระกูลเซี่ยราวกับไม่มีใครได้ยิน กระนั้น

ต่างพากันหลับลึกอย่างสงบสุข รอคอยการมาถึงของรุ่งรางวันใหม่

“จิ่งรุ่ย” เสียงขรึมจากเหมยฉางซูดังขึ้นคล้ายมิได้ใส่ใจต่อสีหน้าตื่นตะลึงของชายหนุ่มตรงหน้า “วันนี้ข้าออกไปดูบ้านแถวตรอกฉางจื้อ เป็นท่านองครักษ์เหมิงแนะนำอีกที ตัวบ้านสะอาดสะอ้าน มั่นคงแข็งแรงดี เครื่องเรือนเครื่องใช้ครบครัน สวนหย่อมไม่งามเท่าไหร่แต่ก็ดี ข้าจะได้ถือโอกาสจัดแต่งใหม่ตามใจตัวเอง ดังนั้น ถึงเวลาที่ข้าต้องย้ายออกไปแล้ว”

“ย้ายออกไปรึ” สายตาของเซียวจิ่งรุ่ยยังคงจับต้องที่ใบหน้าของซากศพนั้น ปากพึมพำ “ใช่ ควรย้ายออกไป เรือนเสวี่ยหลูนี้คงอยู่ต่อไม่ได้แล้ว”

“ตอนนี้กลับห้องตัวเองก่อน คิดเสียว่าคืนนี้ไม่ได้มาที่เรือนเสวี่ยหลู” เป็นคำชี้แนะจากเหมยฉางซู

“ทุกสิ่ง” ชะงักอยู่ครู่ “สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้หรือ” หันไปสบสายตากับเหมยฉางซู

“ข้าไม่อยากทราบว่าเหตุใดท่านบิดาต้องการชีวิตท่าน ข้าเพียงอยากทราบ ท่านไฉนต้องเข้าสู่วังวนแห่งความวุ่นวายนี้”

เป็นความสงสัย เป็นความข้องใจของเด็กหนุ่มที่ซื่อใสและบริสุทธิ์

 

เห็นได้จากความเห็นของเซียวจิ่งรุ่ยที่ว่า “เดิมท่านเป็นชาวยุทธ์ที่ข้าอิจฉามากที่สุด ไร้กฎเกณฑ์ ผูกมัด อิสรเสรี”

เหมยฉางซูยิ้มเศร้า มองดูแสงไฟบนโต๊ะ

“ท่านผิดแล้ว บนโลกไม่เคยมีผู้ใดอิสรเสรีอย่างแท้จริง มีแต่คนที่เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยตัณหา ไม่มีวันเป็นอิสระได้ตลอดกาล”

จึงไม่เพียงเซียวจิ่งรุ่ยจะได้ค้นพบความเป็นจริงของบิดาว่าเป็นเช่นไร

หากที่สำคัญเป็นอย่างมาก เซียวจิ่งรุ่ยก็เริ่มค้นพบตัวเอง เป็นการค้นพบท่ามกลางการค้นพบเนื้อแท้ของบิดา เป็นการค้นพบความนัยอันมีอยู่ของเหมยฉางซู