อนุสรณ์ ติปยานนท์ : ค่ำคืนกลิ่นดอกไม้

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (42)
ป่าน้ำผึ้ง (7)

ความมืดเข้าครอบคลุมบุคคลทั้งสอง ชายหนุ่มขอตัวลุกออกจากโต๊ะและวงสนทนา เขาจุดตะเกียงลานและนำมันกลับมาวางไว้ที่ริมโต๊ะ ภายใต้แสงไฟนั้นเองที่ชายหนุ่มสังเกตพบว่าหลวงบุเรศรฯ มีสีหน้าเศร้าสร้อยในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“คุณพี่อยู่ที่นี่มานานแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง

“ราวหกเดือน ไม่นานพอที่จะรู้จักทุกอย่างและไม่น้อยจนพูดได้ว่าไม่รู้จักอะไรเลย”

“ก่อนหน้านั้นล่ะครับคุณพี่?”

“บูโด” หลวงบุเรศรฯ ตอบ “คุณคงไม่เคยผ่านไปแถวนั้นกระมัง?”

“ไม่ครับ ผมไปไกลสุดก็สะเดา แต่ที่อยู่นานจริงๆ ก็ที่สะพลี” เมื่อกล่าวประโยคนั้นออกมา เขาก็นึกถึงทุ่งวัวแล่นและนึกถึงฉวี และเมื่อนึกถึงฉวี ใจของเขาก็เศร้าลงอีกครา เขาแน่ใจว่าถึงยามนี้ ใบหน้าเขากับใบหน้าของหลวงบุเรศรฯ คงแบกความเศร้าไม่ต่างกัน

“คุณคงมีความหลังที่นั่น” หลวงบุเรศรฯ กล่าว “แต่เอาเถอะ ใครๆ ก็มีความหลังด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งความหลังที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้ด้วยแล้ว นั่นยิ่งยากจะลืม”

“คุณพี่คงลืมเรื่องที่หมู่บ้านนั่นไม่ได้เช่นกันใช่ไหมครับ?”

 

หลวงบุเรศรฯ สูบบุหรี่พื้นเมืองในมือแล้วเอ่ยต่อว่า

“แน่ล่ะ เป็นหนึ่งในความหลังที่ผมไม่มีวันลืมและผมจะไม่ลืม ผมยังจำทุกอย่างได้ชัดเจน แม้กระทั่งกลิ่นหอมของดอกไม้ในคืนนั้น” หลวงบุเรศรฯ หลับตาลงราวกับจะระลึกถึงกลิ่นหอมดังกล่าว

“มันเป็นกลิ่นหอมของดอกเอื้องผึ้ง แซมอยู่ที่เส้นผมของหญิงสาวผู้นั้น ผู้ที่หาได้ใส่ใจในการปรากฏตัวของผมไม่ เธอดูจะจดจ่อกับการทอผ้าผืนงามผืนนั้น แม้ว่าผมจะกระแอมเสียงให้เธอรู้ถึงการมีอยู่ เธอก็หาได้สนใจ ผมเดินเข้าใกล้เธอ เธอก็หาได้สนใจ จนผมถือวิสาสะนั่งลงที่ตั่งข้างๆเธอนั่นเล่า เธอจึงได้ปรายตามองผม”

“หญิงสาวผู้นั้นมีอายุราวยี่สิบปี จะขาดเกินจากนั้นคงไม่กี่มากน้อย ผิวของเธอขาวนวลในความมืด เส้นผมของเธอยาวและดำสลวย เธออยู่ในวัยสาวสะพรั่ง แต่ที่สำคัญเธอเป็นหญิงสาวที่งาม งามแทบขาดใจก็ว่าได้”

“สารภาพว่าในวัยหนุ่มนั้น ผมพบกับความงามของอิตถีเพศมาไม่น้อยกว่าชายอื่น ผู้หญิงตะวันตกที่สูงระหง ผมสีทอง ผมก็เคยประสบพบเจอ ผู้หญิงละตินผิวสีแทน ตากลมโต ผมก็เคยประสบพบเจอ ผู้หญิงชาวไอริชที่มีดวงตาสีเขียวมรกต ผมก็เคยประสบพบเจอ จนแม้แต่ในประเทศเรานี้ ผมก็ได้เจอความงามจากวงพักตร์ของผู้หญิงมานักต่อนักแล้ว แต่ที่จะทำให้ถึงกับหยุดหายใจและเหมือนดังต้องมนต์สะกดก็ดูจะมีแต่หญิงสาวผู้นั้น ผู้ที่นั่งทอผ้าอย่างเดียวดายอยู่ในหมู่บ้านอันเวิ้งว้างห่างไกล”

“ผมกล่าวขอโทษหญิงสาวผู้นั้นที่มารบกวนกิจการงานของเธอ ระหว่างนั้นเองผมก็นึกฉงนใจว่าหากผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้พากันไม่ไว้วางใจในความมืดยามค่ำเสียแล้ว แต่เหตุใดไฉนเล่า หญิงสาวผู้นี้จึงมาทำงานอย่างโดดเดี่ยวโดยมิได้แสดงทีท่าอันหวาดหวั่นใดเลย ทว่าความฉงนใจดังกล่าวก็สะดุดหยุดนิ่งไปเมื่อหญิงสาวผู้นั้นเอ่ยสนทนากับผม”

“เธอเอ่ยถามว่าการพักผ่อนของผมนั้นไม่ราบรื่นหรือไร เพราะเหตุใดเล่าผมจึงลุกขึ้นมากลางดึกเช่นนี้ ผมตอบเธอว่า หามิได้ ผมนั้นยังมิได้นอนหลับให้เต็มตาด้วยซ้ำไป เธอเอ่ยต่อว่า เรือนนอนนั้นไม่ดีพอสำหรับผมหรือ ผมตอบเธอว่าผมหลับมิเต็มตาเพราะความสงสัยใคร่รู้ที่ว่า เพราะเหตุใดผู้คนในที่นี้จึงไม่ปรารถนาให้ผมได้ชื่นชมกับความงามในยามค่ำคืนของที่นี่ เมื่อตอบเช่นนั้น เธอก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่อบอุ่นราวกับแม่ที่พยายามจะปลอบประโลมลูกที่เตลิดหนีเล่นไปไกลบ้านและตัดสินใจกลับเคหา เธอขอให้ผมเรียกตนเองว่าพี่ ส่วนเธอนั้นสมัครใจจะเรียกแทนตัวเองว่าน้อง”

“ความสงสัยใคร่รู้นั้นไม่ใช่ของดีที่ไหนเลย หลายครั้งหลายครา น้องว่ามันพาคนเราไปอยู่ในห้วงอันตรายเสียด้วยซ้ำไป”

“พี่เป็นคนไม่กลัวอันตราย อันตรายนั้นไม่ต่างจากรสชาติหนึ่งของชีวิตคนหนุ่ม”

“น้องได้ยินคนหนุ่มพูดเช่นนี้เสมอ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เคยเอาตัวรอดจากอันตรายได้เลยสักครั้ง”

“พี่ว่าน้องคงเจอคนหนุ่มน้อยเกินไป พี่พบคนหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่เอาตัวรอดจากอันตรายขั้นวิกฤตแบบนั้นมานับไม่ถ้วนแล้ว”

“ที่เป็นเช่นนั้นน้องคิดว่านั่นไม่ใช่อันตรายที่แท้จริง อาจเป็นเพียงแค่สิ่งคุกคามธรรมดาเท่านั้น หากเป็นอันตรายที่แท้จริงแล้ว ไม่น่าจะมีผู้ใดรอดพ้นไปได้”

“น่าจะจริงดังพี่ว่า”

“น้องคงไม่ใช่ผู้ที่กลัวอันตรายได้ง่ายๆ จึงได้สมัครใจมาทอผ้าอยู่เพียงผู้เดียวในที่นี้”

“น้องเป็นคนที่นี่ เติบโตที่นี่ อยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว จะมีเหตุผลใดที่น้องควรจะต้องกลัวด้วยเล่า”

 

แสงจันทร์ที่ส่องมาพอประมาณในบริเวณนั้นทำให้แลเห็นว่าผ้าทอที่หญิงสาวผู้นั้นกำลังใส่ใจทออยู่มีขนาดใหญ่กว่าผ้าทอทั่วไป มันไม่ใช่ผ้าที่ถูกทอขึ้นสำหรับการนุ่งห่ม ไม่ใช่สำหรับการคลุมกาย มันดูเหมือนผ้าที่ทอขึ้นสำหรับใช้ในพิธีกรรมเสียมากกว่า

“ผ้าที่น้องทอดูจะมีสีสันและลวดลายแปลกตากว่าที่พี่เคยเห็น”

“ผ้าที่น้องทอเป็นผ้าที่น้องตั้งใจจะมอบให้กับวัดแถวนี้ ถ้าพี่สนใจจะชมในวัดเก่าที่ปราศจากชื่อเสียง น้องยินดีจะพา”

ผมตัดสินใจในบัดดลที่จะตามหญิงสาวผู้นั้นไปโดยการแสดงอากัปกิริยาลุกขึ้นจากที่นั่งเป็นคนแรก ส่วนเธอนั้นลุกออกจากม้านั่งยาวและเดินนำหน้าผมไป มีเสียงเอียดอาดดังมาจากด้านบน ผมคิดว่าผู้ใหญ่บ้านคงพลิกตัวละเมอไปตามประสา หญิงสาวผู้นั้นพาผมเดินออกไปตามถนนเล็กในหมู่บ้าน ไกลออกไปจนพ้นอาณาเขตหมู่บ้าน หลังจากนั้นเป็นชายป่า เราทั้งคู่บุกเข้าไปในป่าโดยอาศัยแสงจันทร์นำทาง เราเดินอยู่เช่นนั้นโดยไม่เหน็ดเหนื่อย อากาศที่เย็นสบายยามค่ำคืนทำให้ผมคิดว่าถ้าจะต้องเดินอยู่เช่นนี้กับเธอทั้งชีวิตก็จะไม่ตัดพ้อเลย

ในที่สุด เราทั้งคู่ก็มาถึงใจกลางป่า ที่เนินเบื้องหน้าตรงนั้นเองที่ข้าพเจ้าแลเห็นวัดแห่งหนึ่ง เป็นวัดที่มีประตูโขงแบบทางเหนือขนาดใหญ่ เราลอดประตูนั้นไป ภาพด้านในเผยให้เห็นถึงเจดีย์ ศาลา และอุโบสถอันมลังเมลือง

“ที่วัดนี้เองที่น้องตั้งใจจะนำผ้าที่ทอมาถวาย”

ผมยกมือขึ้นไหว้ไปทางอุโบสถ ก่อนจะหันมาถามหญิงสาวผู้นั้น

“น้องจะเอาผ้าไปประดับที่ใด?”

“บนศาลาแห่งนั้น ถ้าพี่ไม่รีบ พี่ช่วยเลือกที่ตั้งให้น้องด้วย”

ผมขึ้นตามหญิงสาวผู้นั้น แต่บนศาลานั้นเอง แสงสว่างก็ปรากฏตัวขึ้นทุกแกลประตู ภาพของหญิงสาวพร่าเลือน ส่วนผมนั้นก็สลบไปกับพื้นศาลา