ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 31 กรกฎาคม - 6 สิงหาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
สุจิตต์ วงษ์เทศ
‘จองเปรียง’ ขอความอุดมสมบูรณ์
ต่อ ‘เทพบิดร’ วัดพุทไธศวรรย์ อยุธยา
จองเปรียงและลอยโคมสมัยอยุธยาตอนต้น มีพิธีกรรมสำคัญที่แม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดพุทไธศวรรย์
มีพระปรางค์ประธานเป็นที่สถิต “เทพบิดร” ของพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาเชื้อวงศ์สุพรรณภูมิ
จองเปรียง, ลอยโคม
เดือน 12 (ตุลาคม-พฤศจิกายน) สมัยอยุธยาตอนต้น กฎมณเฑียรบาลระบุว่ามีพระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม แล้วพรรณนากิจกรรมศักดิ์สิทธิ์ มีที่วัดพระศรีสรรเพชญ์กลางพระนคร และวัดพุทไธศวรรย์ นอกพระนครด้านทิศใต้
พระเจ้าแผ่นดินเสด็จประทับเรือต้น พร้อมเรือกระบวนมีพระอัครมเหสี, แม่หยัวเมือง, ลูกเธอหลานเธอ, พระสนม เมื่อกระบวนเรือล่องถึงหน้าวัดพุทไธศวรรย์ทรงทำพิธีส่งน้ำและพิธีอื่นๆ
ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดพุทไธศวรรย์เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่นอกเกาะเมือง มีการละเล่นจุดดอกไม้ไฟและหนังใหญ่ (เรื่องรามเกียรติ์)
ทำไม? วัดพุทไธศวรรย์ นอกเกาะเมืองด้านทิศใต้ สำคัญอย่างไร? มีข้อมูลอธิบาย ดังนี้
- วัดพุทไธศวรรย์เพิ่งสถาปนาเป็นอารามสำคัญในแผ่นดินพระบรมไตรโลกนาถ (ที่สร้างกฎมณเฑียรบาล)
- บริเวณวัดพุทไธศวรรย์เดิมเป็น “เวียงเหล็ก” ที่ประทับพระเจ้าอู่ทอง “วีรบุรุษในตำนาน” ของเจ้านายเชื้อวงศ์สุพรรณภูมิ (จากสุพรรณบุรี) และดินแดนฟากตะวันตกแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นหลักแหล่งกำลังคนจำนวนมากมีชื่อในพงศาวดารว่า “เมืองปทาคูจาม” มีคูน้ำล้อมรอบรูปสี่เหลี่ยมเรียกคลองคูจามใหญ่ (ปัจจุบันเรียกคลองตะเคียน)
- พระปรางค์ประธานวัดพุทไธศวรรย์ เป็นที่ประดิษฐาน “เทพบิดร” หมายถึงพระเจ้าอู่ทอง อยู่ซุ้มด้านทิศเหนือ (ด้านติดแม่น้ำเจ้าพระยา) มีคำบอกเล่าความ “เฮี้ยน” ตกทอดจนปัจจุบัน
“เทพบิดร” มีต้นตอรากเหง้าจาก “ผีบรรพชน” หรือ “ปู่ตา” ของคนดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ (คำจีนว่า “เฮ่า” ต่อมาไทยเพี้ยนคำแล้วเรียกว่า “พระเจ้าเหา”) ทั้งหมดเป็นไปตามความเชื่อเรื่องขวัญว่าคนตายส่วนขวัญไม่ตาย แต่มีวิถีเหมือนไม่ตาย เพียงแต่ต่างมิติที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น
- เชื้อวงศ์สุพรรณภูมิจากสุพรรณบุรี เป็นพระเจ้าแผ่นดินเสวยราชย์อยุธยา เริ่มตั้งแต่ขุนหลวงพะงั่ว, พระเจ้าทองล้น, เจ้านครอินทร์, เจ้าสามพระยา, พระบรมไตรโลกนาถ (องค์ที่ทรงตรากฎมณเฑียรบาล และสร้างวัดพุทไธศวรรย์ที่มีพระปรางค์ประธาน) และ ฯลฯ
วัดพุทไธศวรรย์ในยวนพ่าย
พระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างวัดพุทไธศวรรย์ที่อยุธยา พบหลักฐานในหนังสือยวนพ่าย (โคลงดั้น) ซึ่งแต่งโดยกวีราชสำนักอยุธยาที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัย (พระบรมไตรโลกนาถเสวยราชย์) มีใจความดังนี้
๏ ปางสร้างอาวาสแล้ว ฤๅแสดง
คือพุทไธสวรรย์หมาย ชื่อชี้
วัดพุทไธศวรรย์ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ระบุว่า สร้างในแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มีความโดยสรุปว่า “พระตำหนักเวียงเหล็กนั้นให้สถาปนาพระวิหารและพระมหาธาตุเป็นพระอาราม แล้วให้นามชื่อวัดพุทไธสวรรย์ เมื่อ พ.ศ.1896” แต่ “พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา” เพิ่งแต่งใหม่สมัย ร.4 หลังเหตุการณ์สร้างวัดพุทไธศวรรย์ ราว 400 ปี จึงเชื่อถือข้อความในยวนพ่ายได้หนักแน่นมากกว่าที่ว่าบริเวณพระตำหนักเวียงหล็กให้สร้างเป็นวัดพุทไธศวรรย์ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
[ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ เคยสงสัยว่าจะมีวัดพุทไธศวรรย์อีกแห่งหนึ่งอยู่พิษณุโลก? (ในหนังสือยวนพ่าย โคลงดั้น ฉบับถอดความ แปลศัพท์และอัตถาธิบาย พ.ศ.2513) ผมเคยยกประเด็นนี้มาสอบถามทักท้วงถกเถียง แต่ท้ายสุดเห็นพ้องกับรุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล (อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง) และประภัสสร์ ชูวิเชียร (อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร) ว่ามีแห่งเดียววัดพุทไธศวรรย์ อยุธยา]
เวียงเหล็ก พระเจ้าอู่ทองกินเหล็ก
พระเจ้าอู่ทองประทับชั่วคราวอยู่เวียงเหล็ก เพื่อสร้างพระนครศรีอยุธยา เมื่อพระนครสร้างเสร็จได้ถวายเวียงเหล็กเป็นวัดพุทไธศวรรย์
[ชื่อ เวียงเหล็ก น่าจะเกี่ยวข้องกับเหล็กที่พระเจ้าอู่ทองเสวย มีบอกในคำให้การชาวกรุงเก่า เล่าว่าพระเจ้าอู่ทองกินเหล็กโดยขูดเป็นผงเอาไปตำให้แหลกละเอียด แล้วคลุกเครื่องกระยาหาร]
คำบอกเล่าของขุนนางชาวอยุธยาซึ่งวัน วลิต (พ่อค้าชาวฮอลันดา) จดไว้ ความว่าเทพยดาอารักษ์ประกาศว่าผู้ใดจะสร้างพระนครลงที่หนองโสนต้องมีฤทธิ์ 2 อย่าง (1.) กินเหล็กได้ (2.) ยิงลูกศรไป ลูกศรกลับมาหาเองไม่ต้องใช้คนไปเก็บ
พระเจ้าอู่ทองให้ “กรางเหล็กแท่งหนึ่งออกตำให้แหลกเป็นผงกรองโดยละเอียด” (กราง แปลว่า ขัดถูด้วยตะไบหรือหางกระเบนให้เป็นผง) แล้วใส่คลุกลงในเครื่องพระกระยาหาร ผงเหล็กคลุกข้าวมีรสอร่อย เสวยทุกเวลาและเสวยได้มาก แล้วกลายเป็นโอสถวิเศษให้มีพระฉวีวรรณงามผ่องใสขึ้นกว่าเก่า
พระเจ้าอู่ทองเสด็จประทับตำหนักน้ำ แล้วแผลงศรยิงไปในทางเหนือน้ำ ลูกศรตกน้ำ แล้วลอยตามน้ำมา พระองค์ทรงกั้นไว้ด้วยคันศร ลูกศรก็เลื่อนลอยเข้ามาหาสู่แล่งศรที่ถือในพระหัตถ์ ไม่ต้องใช้คนไปเก็บ
พระเจ้าอู่ทองในนิทาน
พระเจ้าอู่ทองมีตำนานนิทานสรรเสริญว่าเป็นผู้มีฤทธิ์ขลังศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนเลื่อมใสบอกเล่าสืบต่อตกทอดมากมายหลายสำนวน ล้วนเป็นที่รู้จักตามท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องนั้นๆ
แต่มีสำนวนหนึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้แพร่หลาย เรื่องพระเจ้าอู่ทองเป็นเทพารักษ์ แต่มักแปลงตัวเป็นหนุ่มรูปงาม ไปสมสู่กับสตรีชาวบ้านร้านตลาด ต่อมาถูกขอร้องให้บวช เลยกลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ จะคัดคำบอกเล่านั้นมาดังนี้
“คุณแม่เครือวัลย์ จบกระบวนยุทธ์ มารดาท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อสมัยท่านเป็นเด็ก คุณยายท่านเคยเล่าให้ฟังว่าสมัยนั้นเทพารักษ์พระเจ้าอู่ทองเป็นที่ครั่นคร้ามของชาวเมืองมาก
เล่ากันว่าท่านมักปรากฏตัวเป็นชายหนุ่มรูปงามไปสมสู่กับสตรีชาวบ้านร้านตลาด เจ้าคุณวัดพุทไธศวรรย์ท่านได้อัญเชิญเทพารักษ์มาและขอร้องให้บวชเสีย เทพารักษ์ก็ยินยอม แต่นั้นข่าวฤทธิ์เดชของท่านก็เงียบไป
ทุกวันนี้ชาวพระนครศรีอยุธยาจำนวนมากก็ยังเคารพสักการะในฐานที่เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีทุกข์ก็บนบานศาลกล่าวให้ช่วยคุ้มครอง”
[ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ในข้อเขียนคัดมาคือ ภริยาจอมพลถนอม กิตติขจร จากบทความเรื่อง “พระบรมราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดี” โดยจำนง เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิมพ์ในหนังสือ อนุสรณ์สมเด็จพระเจ้าอู่ทองรามาธิบดีศรีสินทรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว เป็นที่ระลึกงานเสด็จทรงเปิดพระราชอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2513 หน้า 4]