Azur & Asmar : The Princes” Quest ผิวสีผิวขาว

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

https://www.youtube.com/watch?v=aKUHFLVt6Zw

ถัดจาก Kirikou and the Sorceress มาถึงหนังการ์ตูนเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่งของนักสร้างหนังการ์ตูนชาวฝรั่งเศส Michel Ocelot คือ Azur & Asmar : The Princes” Quest ปี 2006

เป็นหนังการ์ตูนสองมิติบนฉากหลังที่แบนราบเช่นเดียวกับเรื่องแรก แต่ด้วยการลงสีวิจิตรตระการตามากที่สุดครั้งหนึ่งของโลกการ์ตูน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่เป็นลวดลายศิลปะแบบอาหรับ

ในขณะที่ฉากหลังแบนราบ ตัวการ์ตูนสร้างด้วยคอมพิวเตอร์กราฟิก ทำให้ได้ภาพดูแปลกตา

สนุกมากอีกเรื่องหนึ่ง

เปิดเรื่องเป็นเสียงหญิงชาวอาหรับร้องเพลงกล่อมเด็ก เธอกำลังให้นมทารกผมสีทอง ทารกลืมตามีนัยน์ตาสีฟ้า ทันใดนั้นทารกอีกคนในอู่ร้องไห้ขึ้น หญิงนั้นวางทารกผมสีทองแล้วอุ้มอีกคนหนึ่งขึ้นมาให้นม คนนี้ผมดำนัยน์ตาสีดำ

ทารกผมทองชื่ออาเซอร์ ทารกผมดำชื่ออัสมาร์ อาเซอร์ออกเสียง “แม่นม แม่นม” ในขณะที่อัสมาร์ออกเสียง “แม่ แม่” เราจึงรู้ว่าอัสมาร์เป็นเด็กชายชาวอาหรับลูกของเธอ ในขณะที่อาเซอร์มิใช่ลูกของเธอ

เวลาผ่านไป เด็กสองคนโตขึ้นและชอบเล่นด้วยกัน หญิงชาวอาหรับยังเลี้ยงดูเด็กทั้งสองประหนึ่งเป็นพี่น้องกัน ก่อนเข้านอนเธอเล่านิทานให้ฟัง

“…แล้วเจ้าชายก็ใช้กุญแจ 3 ดอกไขประตูเพื่อเข้าไปช่วยนางฟ้าแห่งดจินน์…”

ดจินน์ (Djinn) คือภูตน้อยตามคติความเชื่อของอาหรับ มีกล่าวถึงในคัมภีร์กุรอาน ภูตน้อยแต่ละตนเรียกว่าจินนี่ (jinni, djinni หรือ genie)

คืนนั้นหลังจากที่เด็กชายทั้งสองหลับไป มีภูตน้อยสองตน ตนหนึ่งร้องเพลงอาหรับ อีกตนหนึ่งร้องเพลงฝรั่งเศส เนื้อความว่าแล้วเด็กน้อยจะเติบโตเป็นเจ้าชาย เจ้าชายจะเดินทางไปช่วยเหลือเจ้าหญิงแห่งดจินน์

ตามตำนานเล่าว่าภูตน้อยมีหลายจำพวก มีทั้งดีและร้าย จึงมีนางฟ้าหรือเจ้าหญิงแห่งดจินน์คอยปกปักรักษาและควบคุมดูแล

แต่นางฟ้าคือ Djinn Fairy หรือบางทีก็เรียกว่าเจ้าหญิงคือ Princess Djinn ถูกขังเอาไว้ในเรือนผลึกแก้วงดงาม

จะมีเจ้าชายใช้กุญแจสามดอก ตะลุยผ่านสามด่าน และประตูกล เพื่อเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหญิง

ที่แท้แม่ของอัสมาร์เป็นหญิงรับใช้ของขุนนางผิวขาว เธอรับหน้าที่เป็นแม่นมและคอยเลี้ยงดูบุตรชายของขุนนางด้วยคืออาเซอร์ อัสมาร์และอาเซอร์โตมาด้วยกัน เล่นด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกันและทะเลาะกันมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งขุนนางมีคำสั่งให้อาเซอร์ย้ายมาเรือนใหญ่เพื่อนอนคนเดียวได้เพราะโตแล้ว

คืนนั้น อัสมาร์นอนมองที่นอนของอาเซอร์ที่ว่างเปล่า ส่วนอาเซอร์นอนร้องไห้อยู่คนเดียวบนเตียงนอนขนาดใหญ่

เด็กสองเชื้อชาติยังคงเล่นกันต่อไปจนกระทั่งวันหนึ่งบิดาของอาเซอร์สั่งให้อาเซอร์ย้ายไปเรียนหนังสือที่ในเมือง

แล้วขับไล่อัสมาร์และแม่ออกจากบ้านในทันที โดยห้ามมิให้ขนสมบัติสิ่งใดติดตัวออกไปด้วย เพราะสมบัติทุกชิ้นในเขตบ้านถือว่าเป็นของตน

ผ่านไปหลายปี อาเซอร์กลับมาบ้าน บัดนี้เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามผมสีทองตาสีฟ้า เมื่อเขารู้ว่าแม่นมและอัสมาร์ถูกขับไล่ไปก็ไม่ยอมอยู่บ้าน ออกเดินทางข้ามทะเลเพื่อจะไปช่วยนางฟ้าแห่งดจินน์ แต่เรือแตก เขาถูกซัดมาเกยตื้นที่ชายฝั่งแห่งหนึ่ง เสียงผู้คนพูดกันด้วยภาษาอาหรับ

อาเซอร์ตัวคนเดียว เดินไปไหนพบแต่ผู้คนที่รังเกียจและขับไล่เขา ผู้คนใจร้าย บ้านเรือนสกปรก ไม่มีอะไรชวนให้สบายใจเลย จนกระทั่งวันหนึ่งเขานอนหมดแรงไม่ไหวติงอยู่กลางทางเดิน มีเสียงชายขาวอาหรับหลายคนมารุมล้อม อาเซอร์ยังคงนอนนิ่งพลางนึกได้ว่าเขายังไม่ถูกทำร้ายเพราะตนเองปิดตาอยู่ ไม่มีใครได้เห็นตาสีฟ้าของเขา นับจากนี้ไปเขาจะไม่ลืมตาอีกเลย จะได้ไม่ต้องเห็นอะไรอีก เขาจะเป็นคนตาบอด

นับจากวันนั้นอาเซอร์ไม่ยอมเปิดตาอีกเลย

มีชายใส่แว่นดำหน้าตาไม่น่าไว้ใจคนหนึ่งชื่อ คาปรูซ์ สังเกตเห็นชายตาบอดผมทองมาสักระยะหนึ่งแล้วจึงขันอาสามาเป็นตาและปากให้แก่อาเซอร์ เพราะตนเองขาไม่ดีแต่พูดอาหรับได้คล่องแคล่ว คาปรูซ์จึงขี่หลังอาเซอร์ แล้วสองคนขอทานไปด้วยกัน

เรื่องอาเซอร์ตาบอดนี้เป็นส่วนที่น่าสนใจและสนุกสนาน เพราะเขาตาดีจึงทำอะไรผิดพลาดมากมายตั้งแต่ขึ้นฝั่งมา ครั้นเขาตาบอดกลับทำอะไรทีละอย่างๆ ได้อย่างเหมาะสมเสมอ ในทางตรงข้ามคาปรูซ์เสียอีกที่ดูจะกระทำการน่ารังเกียจอยู่เสมอๆ ให้เป็นที่รำคาญของชาวบ้านชาวเมือง

ฉากในเมืองและตลาดเป็นฉากที่สวยสดงดงามมากๆ รายละเอียดและการลงสีจัดจ้านอีกทั้งเปล่งประกายแวววาว

อาเซอร์และคาปรูซ์ขอทานไปเรื่อยๆ และแม้ว่าคาปรูซ์จะสร้างความเสียหายอะไรอาเซอร์ก็ไม่ลืมตา ส่วนอาเซอร์เองแม้ว่าจะหกล้ม เดินชน หรือแม้กระทั่งตกที่สูงอย่างไรก็ไม่ลืมตา เขายินดีเป็นคนตาบอดไปเรื่อยๆ มากกว่า

จนกระทั่งวันหนึ่งสองคนก็มาถึงบ้านเศรษฐินีหม้าย ที่แท้เศรษฐินีนั้นคือแม่นมนั่นเอง!

ฉากเมืองและตลาดว่าสวยงามจนน่าหลงใหลแล้ว ฉากในบ้านของแม่นมยิ่งเพริศแพร้วพรรณราย อาเซอร์ปิดตามานานแสนนานไม่ยอมรับรู้โลกภายนอกที่รังเกียจเขา จนกระทั่งได้ยินเสียงแม่นมเขาจึงยอมเปิดตาอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้โลกอันอุดมไปด้วยความรักและความอบอุ่นของผู้เป็นแม่กลับคืนมาแล้ว

แต่อัสมาร์ไม่ให้อภัยเรื่องที่บิดาของอาเซอร์เคยขับไล่แม่และตัวเขาระหกระเหินออกมา วันนี้อัสมาร์เป็นหนุ่มชาวอาหรับร่างผึ่งผายแต่งกายเป็นสง่า เขากำลังเตรียมตัวเดินทางไปช่วยเหลือเจ้าหญิงแห่งดจินน์และไม่ยินดีต้อนรับอาเซอร์ให้ร่วมทางด้วย

อาเซอร์จึงไปขอคำแนะนำและความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงน้อย หากว่าฉากในบ้านของอัสมาร์ว่างามแล้ว ฉากในวังของเจ้าหญิงน้อยก็งามมากขึ้นไปอีก อาเซอร์พบเจ้าหญิงน้อยที่ห้องทำงานของเธอคือห้องสมุดและหอดูดาวแบบอาหรับ น่าทึ่งมาก

ทั้งนี้ ไม่นับว่าเจ้าหญิงน้อยเป็นตัวละครที่น่ารักน่าชังน่าหลงใหลเพียงแรกพบ ฉากที่เธอได้เหยียบดินครั้งแรกดีทีเดียว

“ชั้นอ่านหนังสือรู้ทุกอย่าง แต่ไม่เคยเห็นอะไรจริงๆ เลย” เธอเริงร่าเป็นครั้งแรกเมื่อได้หนีออกจากวังมากับอาเซอร์ “โอ๊ะ! อะไรอยู่บนพื้น”

“ไม่มีอะไร พื้นดินงัย” อาเซอร์ตอบ

“ดินทุกหนแห่งเลยหรอ น่าประหลาดจริง ในวังปูพื้นหมดเลย ชั้นแตะได้มั้ย” เจ้าหญิงน้อยตื่นเต้นเป็นที่สุด

เจ้าหญิงน้อยได้มอบของสำคัญให้แก่อาเซอร์เพื่อใช้ในการเดินทางไปช่วยเหลือเจ้าหญิงแห่งดจินน์

ที่เล่ามานี้เพียงครึ่งเรื่อง เป็นหนึ่งในหนังการ์ตูนนอกกระแสที่ดีงาม อัสมาร์และอาเซอร์จะพบอะไรบ้างระหว่างทางไปดินแดนแห่งภูต ไม่เพียงเนื้อเรื่องที่สนุกสนานและแปลกใหม่ แต่การลงสีนับจากนี้ไปอีกครึ่งเรื่องยังเป็นส่วนที่คลาดไม่ได้แม้แต่ฉากเดียว

ดีที่สุดคือเนื้อหา เมื่อโลกสองใบมาพบกันด้วยความรังเกียจกันและกัน

มีฉากน่าประทับใจ เมื่อเด็กชายอัสมาร์และอาเซอร์กอดปล้ำกันในดินโคลนจนกระทั่งเนื้อตัวและใบหน้ามอมแมมไปด้วยโคลน แม้แต่พ่อบิดาของอาเซอร์ก็ไม่รู้ว่าเด็กคนไหนผิวสีอะไร

อีกฉากหนึ่ง เมื่อเจ้าหญิงน้อยและอาเซอร์ขึ้นต้นไม้เพื่อชมเมืองที่เจ้าหญิงน้อยไม่เคยเห็น ทางนั้นเป็นมัสยิด ถัดมาเป็นโบสถ์คริสเตียน ถัดไปเป็นโบสถ์ยิวทุกคนสามารถอยู่ร่วมกัน

เป็นการ์ตูนฝรั่งเศสที่สวยมากที่สุดเรื่องหนึ่ง