‘ใครเชียร์ได้เข้าใกล้ เห็นต่างถูกอุ้ม’ เปิดใจหนุ่มระยองชูป้าย สุดท้ายเจอผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

“ไมค์-นนท์” 2 เยาวชนชูป้ายตอนนายกฯมาระยอง ชี้ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาย้อนแย้งกับความเป็นจริง เหน็บ “นายกฯไประยองไม่ฟัง ปชช.ก็ไม่มีประโยชน์”

เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่รัฐสภา นายภานุพงศ์ จาดนอก และนายณัฐชนน พยัฆพันธ์ สองแกนนำเยาวชนภาคตะวันออก ที่ชูป้ายเรียกร้องความรับผิดชอบจากรัฐบาล ระหว่างการลงพื้นที่ จ.ระยอง ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนโดย นายภาณุพงศ์กล่าวว่า เราไปเพื่อที่จะตั้งคำถามกับนายกฯ แต่ก็โดนเจ้าหน้าที่จำกัดสิทธิเสรีภาพเสียก่อน ถ้าท่านบอกว่าต้องการที่จะลดความเหลื่อมล้ำ แต่การจะให้ประชาชนเข้าพบท่านยังเลือกปฏิบัติกับประชาชนเลย ใครที่เชียร์นายกฯ ก็จะได้เข้าไปอยู่ใกล้ แต่กับพวกเราที่เห็นต่าง แค่ต้องการเข้าไปถามคำถามเกี่ยวกับความเดือดร้อนของชาวระยองกลับถูกกีดกัน ลามไปจนกระทั่งถูกอุ้มขึ้นรถ มันแสดงให้เห็นแล้วว่านายกฯไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งเราคิดตั้งแต่เรียนมาว่า นายกฯเป็นคนของประชาชนก็ต้องฟังเสียงประชาชน แต่ถ้านายกฯไม่ฟังเสียงประชาชนก็ต้องพิจารณาตัวเอง

เมื่อถามว่า เรามีความพยายามตั้งใจเข้าไปป่วนการลงพื้นที่ของนายกฯหรือไม่ นายภาณุพงศ์กล่าวว่า ก่อนที่เราจะลงพื้นที่มีเจ้าหน้าที่โทรมาหาก่อนแล้ว ว่าจะไปรับนายกฯหรือไม่ ไปดูที่หน้าเฟซบุ๊กของตนได้เลย และเรายืนยันว่าจะไป พร้อมบอกว่าจะชูป้าย แต่ไม่ได้บอกข้อความที่จะชู เพราะถ้าบอกไปก็จะไม่ได้ชูป้าย ทั้งนี้ เราผิดเองที่เขียนข้อความผิด ถ้าเราเขียนว่า ‘เรารักลุงตู่’ ก็คงได้เข้าไป ซึ่งเจ้าหน้าที่รับทราบว่าเราจะเข้าไปและบอกแค่ว่าอย่ากระทำอะไรรุนแรง ซึ่งเราก็รับปากและแค่แสดงเจตจำนงว่าจะเข้าไปถามนายกฯ เท่านั้น แต่เมื่อถึงหน้างานก็เป็นไปตามที่เห็นในคลิป ไม่มีการแจ้งว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นใครมาจากไหน

นายภาณุพงศ์กล่าวต่อว่า จากเหตุการณ์เมื่อวานร่างกายเรา 2 คน บอบช้ำทั้งแขนข้างซ้ายและขวา และมีอาการเจ็บบริเวณหน้าอก จากการบีบรัดและฉุดกระชาก ซึ่งเราได้ตรวจร่างกายแล้วก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง แต่จิตใจนั้นแน่นอนว่าการที่เราโดนอุ้มแบบนี้ ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีความปลอดภัย รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ และเป็นห่วงชีวิตและครอบครัวของเรา เพราะที่ผ่านมาการทำกิจกรรมของเราก็ถูกคุกคามมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา เราได้แจ้งดำเนินคดีต่อ สภ.เมืองระยอง กับเจ้าหน้าที่ใน 3 ข้อหา คือ 1.ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 2.การกีดกันอิสรภาพ 3.กักขังหน่วงเหนี่ยวลักพาตัว

นายภาณุพงศ์กล่าวว่า หลังการแจ้งความดำเนินคดีในช่วงเที่ยงคืน มีสายจากเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยแจ้งว่าจะเชิญเราทั้ง 2 คน ไปรับทราบข้อกล่าวหา โดยไม่มีการออกหมายเรียกแต่อย่างใด ซึ่งเราก็ได้แจ้งไปว่าไม่ว่างเพราะจะเดินทางมารัฐสภา แต่ได้ถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตั้งข้อกล่าวหาอะไรบ้าง ซึ่งได้รับคำตอบมาว่า 1.ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งๆ ที่เราไปกันเพียง 2 คน 2.ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เราได้ชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วว่าเราจะเดินทางไปรับนายกฯ และไม่ได้ผิดข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด แต่เป็นเจ้าหน้าที่ต่างหากที่เริ่มกระทำความรุนแรงกับพวกเราเอง ทั้งยื้อยุดฉุดกระชากทั้งตัวเราและป้ายต่อหน้าประชาชน เรารู้สึกว่าไม่เป็นธรรมก็ต้องขัดขืนเป็นธรรมดา เพราะไม่รู้ว่าหากโดนอุ้มขึ้นรถแล้วจะถูกพาไปที่ไหน และจะเป็นเหมือนนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหวที่ถูกอุ้มในกัมพูชาหรือไม่ 3.ข้อหาหนีการจับกุม เราต้องบอกว่าก่อนที่เราจะถูกพาขึ้นรถเราพยายามถามเจ้าหน้าที่ซ้ำหลายๆ ครั้งว่า ตั้งข้อหาอะไร หรือเราผิดอะไร ก็ไม่ได้รับคำตอบว่าจะตั้งข้อกล่าวหาใดๆ แต่กลับบอกว่าพวกตนหนีการจับกุม มันย้อนแย้งกันหรือไม่ เพราะถ้าหากตนหนีการจับกุมจริง ต้องแสดงความผิดจนเป็นที่ประจักษ์ และต้องมีการตั้งข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนแล้ว

“ซึ่งตอนแรกที่จับเราไปบอกว่าจะไปส่งที่ สภ.เมืองระยอง แต่กลับเป็นว่าพาเราไปที่ไหนก็ไม่รู้ จนเราต้องเดินกลับมาและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ในเฟซบุ๊ก ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ตามประกบตลอดเวลา 8-9 นาย และพยายามกีดกันไม่ให้วินมอเตอร์ไซค์ไปส่งเราที่จุดหมาย จนกระทั่งเราไปถึงตลาดก็มีการสั่งการให้มีการจับกุมเรารอบ 2 โดยเจ้าหน้าที่สั่งการให้อุ้มขึ้นรถและใส่กุญแจมือ เมื่อถึงจุดนั้นเรารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัย จึงวิ่งข้ามถนนไปหาฝูงชนเพื่อความปลอดภัย” ภาณุพงศ์กล่าว

นายภาณุพงศ์กล่าวว่า จากนั้นเจ้าหน้าที่อีกว่า 30 นาย ก็มายืนขวางและนำรถตำรวจที่เป็นรถตู้มาจอดขวาง ตอนนั้นเราได้แต่ตะโกนถามชาวบ้านว่าเห็นแล้วหรือยังกับการที่เราถูกกีดกันในการแสดงออกทางประชาธิปไตย ที่เราไม่สามารถเข้าไปถามนายกฯได้ ขณะที่คนที่เข้าไปเชียร์และให้กำลังใจนายกฯ สามารถเข้าไปได้ในระยะประชิด เราขอย้ำว่าเจตนาของเราเพียงแค่เข้าไปถามว่าจะเยียวยาประชาชนชาวระยองอย่างไรแค่นั้นจริงๆ เราไม่ได้มีเจตนาจะเข้าไปสร้างความวุ่นวายหรือทำร้ายร่างกายใครในงานนั้น เราเป็นคนระยองเอง เรารู้ว่าต้องรักษาภาพพจน์ของชาวระยอง ในเมื่อผู้นำประเทศไปเราก็ต้องต้อนรับ แต่การตั้งคำถามมันเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ควรจะมีสิทธิถาม ถ้านายกฯลงพื้นที่ระยองแล้วท่านไม่ถามประชาชนท่านก็ไม่ควรที่จะลงไป เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคนระยอง