ทวีปที่สาบสูญ | รองเท้าของหล่อน โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ฉันลืมตาขึ้นก่อนที่หล่อนจะตื่น และเพิ่งพบว่า ตัวเองนอนกอดร่างอุ่นนั้นไว้ตลอดคืน

เสียงเครื่องแอร์ดังอยู่ตลอด จนบางครั้งฟังก้องในห้องไร้หน้าต่าง แต่หล่อนก็ยังหลับสนิท

ค่อยๆ ขยับตัวลุกนั่ง พยายามทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุด มีแสงสะท้อนเข้ามารางๆ จากช่องอิฐแก้วข้างผนังด้านบน กระทบตกมาจนเห็นใบหน้าที่นิทราอยู่

หล่อนช่างสวยเหลือเกิน

วงหน้านั้นได้รูป คิ้วดกหนาปลายเฉียง จมูกโด่งเป็นสัน ปากชมพูเรื่อเต็มอิ่ม ไม่มีแม้สิวสักเม็ดหนึ่ง

เงยหน้าดูรูปข้างผนังหัวเตียง คล้ายจะมีประกายระยิบระยับเกิดขึ้นกับวงน้ำ สีฟ้าในภาพดูเข้มลึกกว่าเมื่อคืน และเหล่าดอกบัวดูชูช่ออรชร

เบือนตากลับมาดูหล่อน…

สวยดั่งเดียวกับบึงน้ำและดอกบัวเหล่านั้น

ฉันก้มลงหนึ่งครั้ง แล้วกลับชะงัก ยืดตัวกลับมา

อีกอึดใจหนึ่ง ก้มหน้าลงไปอีก หนนี้ แค่สักปลายข้อนิ้วก็จะสัมผัสแก้มนวลใยนั่น

หล่อนคงไม่รู้ตัวเร็วหรอกกระมัง ท่าทางจะหลับสนิทปานนี้ แต่ถ้าหล่อนลืมตาขึ้นมาล่ะ…

ร่างกายของฉันมักจะทำในสิ่งขัดแย้งจากความคิดเสมอ อีกครั้ง ที่เร็วจนตัวเองยังยั้งตัวไม่ได้

หล่อนลืมตา…

“ทำอะไรน่ะ?”

หนนี้ ไม่ใช่การถามในความฝัน อย่างที่ฉันจินตนาการในคืนผ่านมา แต่ปากของหล่อนขยับออกมาจริงๆ

และตาสีน้ำตาลเพ่งจ้องฉันอยู่

อึกอัก…ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร แล้วทันใดนึกขึ้นได้อีกอย่าง

ยังไม่ได้ล้างหน้าสีเขี้ยว…หล่อน…หล่อนจะเหม็นขี้เขี้ยวของฉันไหม

ร่างสูงเด้งลุกจากที่นอน ยกแขนบิด เอี้ยวไหล่ซ้ายขวา สายเสื้อกล้ามพาดผ่านบ่าที่มีมัดกล้ามตึงแน่น

ใจเต้นรัวอีกครั้ง

“กี่โมงแล้วนี่” ถามเอง พูดเอง “ยังไม่สองโมงเช้าหรอกมั้ง”

ฉันไม่รู้จะตอบอะไร รีบเลี่ยงจะลงจากเตียง

“เดี๋ยว” หล่อนคว้าข้อแขน

ใจเกือบสั่น ฉันไม่เข้าใจตัวเองในสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ แต่รู้เพียงว่า หล่อนอาจมีอำนาจมากกว่า และสิ่งที่ฉันคิด…อาจผิดแล้วก็ได้

“ตะกี้ทำอะไรพี่”

“ปละ…เปล่า” รีบปฏิเสธ

ตาสีน้ำตาลจ้องฉันอย่างค้นคว้า สักครู่ ตานั้นก็ยิ้มอย่างกับมีเม็ดนิลกลอกกลิ้งภายใน ราวจะว่า รู้ทันถึงไหนๆ

แต่ไม่หรอก…คงเป็นไปไม่ได้

หล่อนจะมารู้อะไร

“อาบน้ำดีกว่า” หล่อนพูดออกมา แล้วก้าวขาพรวดลงจากเตียง

ฉันได้กลิ่นสบู่ลอยออกมาจากห้องน้ำอีกหนหนึ่ง ทำไมเวลาหล่อนเข้าไปอาบ จึงมีกลิ่นกำซาบกระจายฟุ้งออกมาได้ ตอนที่ชำระเหงื่อไคลตัวเอง ไม่เห็นจะหอมขนาดนี้

หล่อน…จะอาบน้ำอีกนานใช่ไหม จะใช้เวลาสักกี่นาทีกัน ลมหายใจติดขัดขึ้น เหมือนอะไรสักอย่างที่ยังค้างคาอยู่ในห้วงสำนึก

อยาก…แค่อยากตัดมันออกไป

ใจอยากขึ้นไปบนที่นอน แต่ยังไม่กล้าพอ เผื่อหล่อนจะออกมาเร็วกว่า จึงเพียงทรุดนั่งข้างเตียง เหยียดปลายขาออกเอนหลัง

พิงท้ายทอยลงไป

ไม่ใช่แค่ใจฉันที่สั่นสะท้าน อาจเป็นทั้งร่างกาย ซึ่งไม่อาจห้ามความระริกระรัวได้ ลมหายใจตัวเองผ่าวกระชั้นขึ้นทุกที

ฉันรู้ดี

นาทีนี้ คงไม่มีอะไรอีกแล้วจะหยุดได้

แล้วฉันก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย พอๆ กับไม่เห็นอะไร ตาปิดลงหับขังตัวเองเอาไว้ ฉันคิดถึงแต่ดวงตาของหล่อนที่ซ่อนใต้ผิวเปลือกบางๆ

ขนตานั่น โหนกแก้ม อีกเส้นที่ลาดลงจากโค้งหน้ามาหาลำคอ แอ่งชีพจรใกล้กระดูกไหปลาร้า…ใช่เรียกอย่างนั้นหรือเปล่านะ ต่ำลงไปจนถึงเนินอกเล็กๆ นั้น

ตัวฉันสั่น และเกือบสะท้านอย่างรุนแรง เหมือนมีพลุสีขาวระเบิดขึ้นกระจัดกระจาย เสี้ยวนาทีที่เกิดมโนภาพว่า ตัวเองกำลังก้มหน้าลงไปอีก

และครอบครองบางจุดของหล่อนชั่วครู่

ฉันไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ ให้ตายเถอะ จนกระทั่งค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย สติสัมปชัญญะกลับมา

และพบว่า หล่อนยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ

“ไปอาบน้ำได้แล้ว”

ฉันไม่แน่ใจว่า เสียงหล่อนห้วนไปกว่าเดิม หรือหูตัวเองเพี้ยนไป พอพูดจบ หล่อนก็เดินไปอีกทางหนึ่ง

“…เสร็จแล้วเหรอ” ฉันคงจะเสียงเบามาก

ขยับตัวลุกขึ้น

ขายังสั่นอยู่

“อะไรนะ?” หล่อนส่งเสียงข้ามห้องมา

“เร็วๆ หน่อย จะได้ไปทันซื้อตั๋ว”

ฉันได้ยินชัดขึ้นแล้ว หล่อนมีน้ำเสียงเปลี่ยนไปจริงๆ คล้ายคนที่กำลังโกรธอะไร หรือมีเรื่องขุ่นมัวในอารมณ์

หรือว่า…

…หล่อนเห็นกริยาของฉัน

“…เอ้อ ถ้าคุณไม่อยากให้ไปด้วยแล้ว…” ปากหล่นคำพูดออกไป

หล่อนกลับเหลียวขวับมาทันที

“จะพูดไร้สาระเพื่ออะไร”

เค็มและเฝื่อนอยู่ในปากคออีกจนได้ นี่อย่างไร สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดในตัวเอง คือเวลาที่มวลหมู่น้ำตาเหมือนแมลงอพยพ พากันหลั่งไหลมาไม่รู้แห่งหน ผลักไสยัดเยียดท่วมท้น ทีละเม็ด ต่อร้อยเป็นสร้อยเป็นสาย เอ่อขังจนใต้เปลือกตาไม่สามารถรั้งรับได้

เข้าไปยืนพิงผนัง สะอื้นฮักๆ แต่ยังมีสติจะอุดปากตัวเองไว้

…สลิด! อีพี่! ทีหยั่งงี้ ทำเป็นมีความคิดขึ้นมา

ก่อนหน้านั้นล่ะ เวลา…เวลาอยากน่ะ มึงเอาสมองไปไว้ไหน!

ด่าตัวเองอยู่ในความเงียบที่อึกทึก รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่แสนโง่

กูทำอะไรลงไป

เขาเห็น…เห็นกูใช่ไหม

ประตูห้องน้ำเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันยังคงพร่าเบลอและเลือนราง

มีร่างๆ หนึ่งเข้ามาหยุดเบื้องหน้า

ใครกัน…อีนางแพศยานั่นหรือ ชั่ววูบหนึ่ง ความทรงจำยังกระหวัดถึงเส้นผมที่พันในฝ่ามือ

“ร้องไห้ทำไม”

แขนแข็งแรงอวดผิวสว่างใส หล่อนยังอยู่ในเสื้อกล้ามตัวเก่า ชื้นหยดน้ำบนตัว

“พี่นล…”

เรียกชื่อหล่อนออกไป

หล่อนเดินนำหน้า สวมเสื้อเชิ้ตคอปกสีเปลือกไข่ไก่ มีลายเล็กๆ จนถ้าไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็น ปล่อยชายเสื้อคลุมทับกางเกงยีนส์ขายาว รองเท้าผ้าใบ แบกเป้ใบเดิมไว้บนหลัง

ฉันเดินอยู่ข้างหลัง สวมหมวกแก๊ปที่หล่อนซื้อให้ เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ อีกตัวจากหล่อน กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะคีบ

จนเดินกันไปได้พักใหญ่ พ้นจากตัวตึกที่เราพักกันในคืนที่ผ่านมา หล่อนก็ชะโงกดูในร้านค้าห้องหนึ่ง

หยุดเดิน กวักมือเรียกฉัน

พอเข้าใกล้ หล่อนก็โอบมือกับไหล่ พาเดินเข้าไปอีกก้าว

บอกกับคนในร้านว่า

“ขอรองเท้าให้น้องเขาสักคู่”

ฉันเกือบจะชักตีนหนี ค่าที่รู้ว่ามันมอมแมมและไม่น่าดูอย่างไร แต่คนในร้านคงรู้ว่าใครจะเป็นคนจ่าย คนขายกุลีกุจอหยิบของในกระบะส่งให้

“จะเอาอย่างใดเจ้า อย่างเก่า กะว่ารองเท้าผ้า”

“ผ้าใบก็ได้” หล่อนว่า

ไม่ถามราคาเลยสักคำ

“คู่นี้บ๋อเจ้า” แม่ค้าเหลียวมาพูดกับฉัน “ตี๋นหน้อยๆ ใส่อันใดก่เปิงเจ้า”

อีตอแหล ฉันอดด่าในใจไม่ได้ ฉันรู้จักตีนตัวเองดี รองเท้าที่มี ที่เคยสุบเคยใส่ ขอเพียงให้อุ้มฝ่าตีนอยู่ ก็ดีมากถมเถ

คนเราจะเอางามไปถึงไหน รองเท้าผ้าใบคู่หนึ่งกี่สตางค์กัน

มันอาจจะเป็นค่าแรงของฉัน…เกือบเป็นเดือนก็ได้

“เอาคู่นี้แหละ” คนร่างสูงล้วงกระเป๋า

หล่อนทำราวว่า การจะใช้จะจ่ายอะไร เป็นเรื่องง่ายไม่ต้องคิด ไม่ต้องต่อราคา

“กี่บาทกา?” ฉันเอ่ยปากถามเป็นคำถิ่น ในเมื่อคนขายก็พูดคำอย่างเดียวกัน

ได้ยินราคา

ใจฉันตกหล่น แพงกว่าเงินเดือนเสียอีก

“…ยังบ่เอาก็ได้” รีบบอกออกไป “…ยังบ่จำเป็น”

หล่อนเหลียวมาทันที

“พี่ซื้อให้ ไม่ได้ให้ออกเงินเอง”

…หล่อนคงไปหักเอาทีหลัง ฉันแน่ใจ ถึงหล่อนจะยินดีอุปการะ แต่มีเหตุผลอะไรต้องจ่ายสตางค์ให้ถึงเพียงนี้

[“พี่นล…”

ฉันเรียกชื่อหล่อนออกมา และหล่อนก็จ้องหน้าฉันด้วยตานิ่งๆ ที่เดาอะไรไม่ออก

“อย่าขี้แยมาก พี่ไม่อยากโดนข้อหาว่าลักพาตัวน้อง”

แล้วหล่อนก็หันหลังออกไป]

“เปลี่ยนเถอะ” หล่อนพูดเสียงเรียบ “จะได้ไม่เป็นเป้าสายตาใคร”

รองเท้าของหล่อนสะอาดเอี่ยม มีแถบสวยๆ ด้วย ฉันเพิ่งสังเกตเห็น หล่อนก้มตามที่สายตาฉันมอง แล้วเงยหน้าขึ้นจ้อง

ตาหล่อนสวยเกินไปจริงๆ