คำ ผกา | ความโชติช่วงของศีลธรรมนิยม ท่ามกลางไวรัส

คำ ผกา

อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ – ทุกครั้งที่ฉันได้อ่านข้อความนี้ก็ถามตัวเองตลอดว่า ทำไมเขาไม่บอกว่า อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก

คำขวัญง่ายๆ อย่าง อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ฟังดูไม่มีพิษมีภัย และไม่มีอะไรผิดเลย แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของรัฐกับประชาชนที่อยู่ในจินตนาการของ “เรา”

“เรา” ในที่นี้ ฉันหมายถึงทั้งตัวเราและรัฐ ที่ต้องหมายถึงตัวเราด้วย เพราะพลันที่มีคำขวัญนี้ออกมา มันก็ฟังดู “ถูกต้อง” ทันทีในความรู้สึก เพราะตลอดชีวิตของเราคนไทยเราถูกสอนมาตลอดว่า หน้าที่ของพลเมืองที่ดีคือ “เสียสละเพื่อชาติ”

เมื่อเราเกิดมาเพื่อเสียสละเพื่อชาติ, เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม, เราเป็นหนี้บุญคุณประเทศชาติและแผ่นดินเกิด ฯลฯ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะ “อิน” กับคำพูดในทำนองว่า “อย่าถามว่าประเทศชาติทำอะไรให้คุณ จงถามว่าคุณทำอะไรให้ประเทศชาติ”

อ้าว แล้วมันไม่ดีตรงไหน กับการสมาทานสิ่งนี้ในฐานะที่มันเป็นความจริง

เพื่อจะตอบคำถามนี้เราต้องกลับไปทบทวนกันอีกครั้งว่า “ชาติ” หมายถึงอะไร

ถ้า “ชาติ” หมายถึงหน่วย collective ของปัจเจกบุคคล (ปัจเจกบุคคลหลายคนรวมกันภายใต้องค์ประกอบของรัฐ หรือประเทศ) ถ้า “ชาติ” ของเราเป็นความหมายเช่นนี้ การทำเพื่อ “ชาติ” ก็เท่ากับเป็นการทำเพื่อตัวเราเองและเพื่อนร่วมชาติ – ดังนั้น – คำว่าอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ สามารถพูดได้อีกแบบว่า อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อตัวเราและเพื่อนของเรา

ลองอ่านดูอีกครั้งว่าระหว่าง

อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ

กับ

อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อตัวเราและเพื่อนของเรา

ให้ความรู้สึกที่ต่างกันอย่างไร?

ประโยคแรก ให้ความรู้สึกว่า “ชาติ” เป็นบางสิ่งบางอย่างที่อยู่บนหิ้งบูชา

ชาติเหมือนเถ้ากระดูกของบรรพบุรุษที่เราวางไว้บนหิ้ง กราบไหว้ ขอพร ขอความคุ้มครอง

และรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หน้าที่ของเราที่มีต่อชาติ คือ การกราบไหว้เช้า-เย็น เพราะการละเว้น เพิกเฉยต่อการไหว้หิ้งบรรพบุรุษนั้นเป็นเรื่องอกตัญญูอย่างยิ่ง ลูกหลานคนไหนเพิกเฉยไม่ทำ

แลดูว่าชีวิตจะไม่มีความสุข ความเจริญ นอกจากกราบไหว้บูชาแล้วก็มีหน้าที่หาของมาเซ่นไหว้อย่างเหมาะสม

และทุกๆ วันสำคัญทางประเพณีก็มีหน้าที่ต้องประกอบพิธีบูชาไหว้สาให้ยิ่งใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับ “ชาติ” แบบนี้คือ ชาติคือบรรพบุรุษผู้มีบุญคุณล้นพ้นอยู่บนหิ้ง

ส่วนเราคือลูกหลานที่นั่งอยู่ข้างล่าง มีหน้าที่อุทิศตน เคารพ นับถืออย่างไม่มีเงื่อนไข

ประโยคที่สอง ให้ความรู้สึกว่าชาติคือตัวเราเอง และผู้คนอันแตกต่างหลากหลายที่มีชีวิตอยู่รอบๆ เรา อันเราเรียกว่า “เพื่อนร่วมชาติ” เราไม่จำเป็นต้อง “รัก” เพื่อนร่วมชาติของเรา เพราะไม่มีใครรู้จักกันเป็นการส่วนตัว

ฉันซึ่งอยู่เชียงใหม่ก็ไม่รู้จักคนอีกหลายสิบล้านคนในจังหวัดต่างๆ แต่ “พันธะ” ระหว่างเรากับเพื่อนร่วมชาติคนอื่นๆ เป็นพันธะทางการเมือง

พันธะทางการเมืองคือ เราทุกคนที่เกิดและได้สัญชาติไทย (พรมแดนประเทศ, สถานะพลเมือง เป็นประดิษฐกรรมของโลกสมัยใหม่ อุบัติขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 – รัฐไทย ชาติไทย และความเป็นไทยก็เป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมนั้น)

ต่างก็แชร์อำนาจทางการเมืองในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศร่วมกันภายใต้กติกา (ในอุดมคติคือ เป็นกติกาที่พลเมืองทุกคนมีส่วนร่วมในการออกแบบ) ใหญ่ อันเรียกว่า constitution หรือภาษาไทยเรียกว่า รัฐธรรมนูญ

มันเรียบง่ายแค่นั้นเลยว่า เราและเพื่อนร่วมชาติของเรามีพันธะทางการเมืองร่วมกันภายใต้กติกาใหญ่สุดคือรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ระบุว่าประเทศนี้เป็นรัฐแบบไหน (เช่น ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยวอันแบ่งแยกมิได้) ปกครองด้วยระบอบอะไร ย่อยลงมาเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องการใช้ทรัพยากรร่วม การเก็บภาษี การจัดการงบประมาณ ฯลฯ

ยกตัวอย่างต่อไปว่า ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เรามีรัฐสภา อันประกอบไปด้วย วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร หัวหน้าฝ่ายบริหารเรียกว่า นายกรัฐมนตรี ถ่วงดุลอำนาจกันด้วยสามฝ่ายคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

ดังนั้น สิ่งเดียวที่ร้อยรัดคนสัญชาติไทยทุกคน (ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน ศาสนาอะไร) คือ พันธะทางการเมืองที่ว่านี้

พูดให้ง่ายและหยาบลงไปอีกคือ เรามีพันธะทางการเมืองผ่านการเสียภาษี

จะเสียมากเสียน้อยก็ไม่ได้ทำให้เรามีส่วนแบ่งในการเป็นเจ้าของประเทศน้อยลงตาม

และเราเลือก “ตัวแทน” ของเราคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นผู้บริหารภาษีนั้นในนามของ “งบประมาณแผ่นดิน”

ในความ “ตัวแทน” นั้นก็ตกลงกันว่า ตัวแทนจากเสียงข้างมากเลือก “หัวหน้าคณะบริหาร” ชื่อตำแหน่งคือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคณะบริหาร (เรียกว่า ครม.) และฝ่ายรัฐบาล ทำหน้าที่บริหารประเทศผ่านหน่วยธุรการที่เราเรียกว่า “ราชการ” ส่วนตัวแทนเสียงข้างน้อย ทำหน้าที่ตรวจสอบตัวแทนเสียงข้างมาก เรียกว่า “ฝ่ายค้าน”

มันเรียบง่ายขนาดนี้ และขณะที่อ่านๆ ไป หลายคนก็คงนึกในใจว่า โอ๊ย นี่มันคือทุกอย่างที่เราเรียนตอน ป.6 แต่ต้องกลับมาทบทวนให้ฟังเพื่อย้อนให้เห็นว่า “ชาติ” ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนหิ้ง ที่เราต้องก้มหน้าก้มตาตอบแทนบุญคุณ หรือเสียสละ หรืออยู่ๆ ก็จะถูกเรียกร้องให้ทำเพื่อชาติอย่างไม่มีที่มาที่ไป

แต่ชาติหมายถึง เราในฐานะปัจเจกบุคคลทุกคนที่มีพันธะทางการเมืองร่วมกันภายใต้รัฐธรรมนูญที่เราออกแบบตกลงพร้อมอกพร้อมใจกันว่า เออ เอาอย่างนี้นะ อยู่ภายใต้กติกานี้นะ

โอ๊ย แล้วทำไมฉันต้องมาเรื่องมากกับประโยคอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ทำไมฉันต้องให้ทดลองพูดว่า อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อตัวเราและเพื่อน (ร่วมชาติ) ของเรา

คําตอบคือ ฉันต้องเรื่องมากเพราะ หนึ่ง ฉันไม่แน่ใจว่า ถ้าเราพูดว่า “เพื่อชาติ” เราเข้าใจคำว่า “ชาติ” ตรงกันหรือไม่?

เพราะใน narrative ราชการ และคนอีกจำนวนมากในประเทศไทย ยังคิดว่าชาติคือบางสิ่งบางอย่างที่อยู่บนหิ้งบูชา ศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีเงื่อนไข โดยมีรัฐบาล, ข้าราชการ เป็นเอเย่นต์ของชาติอันอยู่บนหิ้งนั้น คอยทวงให้ประชาชนตอบแทนบุญคุณ ทำตามไกด์ไลน์ของรัฐบาล เชื่อฟังหัวหน้าคณะรัฐบาล

ภาษีที่เราเสียไปก็เหมือนเครื่องเซ่นไหว้ รัฐบาลว่าเราเซ่นไหว้ไปอย่างถูกต้องหรือเปล่า เราประพฤติตัวดีไหม เราสร้างความหนักใจให้ “ชาติ” ไหม ถ้าเราสร้างความหนักใจ รัฐบาล ราชการ ก็มีหน้าที่ต้องกำราบ และลงโทษเรา

นี่คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงต้องเรื่องมาก จุกจิก จู้จี้กับประโยคง่ายๆ พื้นๆ ที่ฟังดูก็ไม่มีปัญหาอะไร

ตรงกันข้าม ถ้าเราพูดว่า อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อตัวเราและเพื่อน (ร่วมชาติ) ของเรา

ความสัมพันธ์ของเรากับชาติจะเป็นความสัมพันธ์แนวราบ มิใช่แนวดิ่ง เพราะชาติไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนหิ้ง

แต่คือเราและผู้คนอันหลากหลายรอบๆ ตัวเรา สำคัญกว่านั้นในความสันพันธ์แนวราบนี้จะไม่มีใครมีบุญคุณต่อใคร

ไม่มีใครต้องตอบแทนบุญคุณใคร ไม่มีใครต้องมานั่งเสียสละอะไรให้ใคร สำคัญกว่านั้นไปอีกคือ

จะไม่มีใครแอบอ้างมาทวงบุญคุณกับเราว่า – เนี่ย ผม/ฉันอุตส่าห์ทำงานหนัก เสียสละความสุข ความสบาย เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เพื่อพี่น้องชาวไทยทุกคน โปรดเห็นใจ โปรดให้ความร่วมมือ เชื่อฟังรัฐบาล อย่าเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะคนทำงานนั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว เชื่อฟังแล้วก็อย่าหวังแต่พึ่งรัฐบาล หัดช่วยเหลือตัวเองบ้าง คนไทยตั้งหก-เจ็ดสิบล้านคน จะให้รัฐบาลไปช่วยทุกคน ให้ทุกคน แจกทุกคน มันเป็นไปไม่ได้ อะไรที่ทำเองไปได้จงทำ มีร้งมีรั้วบ้านก็หัดปลูกผักสวนครัว เพื่อทุ่นค่าใช้จ่าย บลา บลา บลา

ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าเราเห็นชาติ เท่ากับเราและเพื่อนร่วมชาติ สิ่งที่เราจะได้จินตนาการถึงคือ “มนุษย์” ทันทีที่เราพูดว่า

“อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อเราและเพื่อน (ร่วมชาติ) ของเรา” เราจะตระหนักทันทีว่า เรามีเพื่อนร่วมชาติที่บางคนมีบ้านอัครฐานอยู่สบาย

เพื่อนร่วมชาติบางคน การอยู่บ้านหมายถึง คนสี่-ห้าคนมีชีวิตร่วมกันในห้องหับอันคับแคบ ไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆ ไม่มีแอร์ ไม่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต

บ้านของเพื่อนร่วมชาติอีกจำนวนไม่น้อย หมายถึงเพิงพักในไซต์คนงานก่อสร้าง หลังคามุงสังกะสีร้อนผะผ่าวในอุณหภูมิของกลางเดือนเมษายน

บ้านของเพื่อนร่วมชาติอีกจำนวนไม่น้อยหมายถึงข้างถนนรนแคม

บ้านของเพื่อนร่วมชาติจำนวนไม่น้อยหมายถึงห้องเช่ารูหนู อุดอู้ ไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างหรือช่องลม

เคยเห็นชีวิตคนที่เขาต้องอยู่ห้องเช่าแบบนี้กันไหม?

ตอนเย็นๆ พวกเขาจะออกมานั่งริมถนน ปูผ้า หรือเสื่อผืนเล็กๆ ให้ลูกเล็กเด็กแดงได้ออกมาวิ่งเล่น หายใจ บางทีเอาข้าวมานั่งกินใต้ต้นไม้ริมถนน

บางครั้งบางวัน การดื่มเบียร์สักขวด ท่ามกลางลมร้อนระอุ และกลิ่นท่อไอเสียรถยนต์ ก็ยังรื่นรมย์กว่าขังตัวเองไว้ในห้องอันมืดมิดอบอ้าวนั่น

รอจนมืดค่ำ เหน็ดเหนื่อย อุณหภูมิความร้อนเริ่มคลาย ค่อยกลับไปซุกหัวนอน

อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อเราและเพื่อนร่วมชาติของเรา – พูดปุ๊บ เราก็จะนึกภาพออกว่า มีเพื่อนร่วมชาติของเราจำนวนมาก มากเหลือเกิน ที่การหยุดอยู่บ้านของพวกเขาหมายถึงการขาดรายได้

มีเพื่อนร่วมชาติจำนวนมากที่มีชีวิตอยู่กับค่าแรงรายวัน รายวีก รายเดือน วันต่อวัน วีกต่อวีก เดือนต่อเดือน ปะ ผุ หมุนเงิน กู้บ้าง จ่ายดอกบ้าง ผ่อนสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

การอยู่บ้านหมายถึงการขาดผึงของลมหายใจ หมายถึงการเข้าเนื้อ หมายถึงการต้องเอาทุนรอนเก่าออกมาประทัง หรือถ้าไม่มีทุนรอนใดๆ ก็ย่อมหมายถึงการติดลบต่อไปเรื่อยๆ

แทนการทำเพื่อชาติ หากเราจะเห็นว่า “ชาติ” หมายถึงเพื่อนร่วมชาติ เราจะสามารถเข้าใจ เห็นใจ และผลักดัน กดดันให้รัฐบาลกระทำบางอย่างเพื่อมิให้เพื่อนร่วมชาติของเราต้องล่มสลายแหลกลาญเป็นผุยผงร่วงหล่นลงมาอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ถ้าจะให้เราอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อ ถ้าเรารู้ว่ามีเพื่อนร่วมชาติของเราจำนวนมากที่จะต้องลำบากในมิติต่างๆ กัน แทนการล่าแม่มด จับผิดคนกินเหล้า เล่นไฮโล หรือไม่ถล่มด่าคนที่ได้เงินห้าพัน แล้วบอกว่าพอแค่ค่าโบทอกซ์ เราจะใช้พลังและเวลาในการกดดันให้รัฐบาล (ที่คือตัวแทนประชาชน) มีมาตรการรองรับให้การอยู่บ้านของประชาชน และการ “ปิดเมือง” หรือเคอร์ฟิวไม่มาพร้อมกับภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว

น่าเสียดายที่นอกจากเราจะมองไม่เห็น “เพื่อนร่วมชาติ” ที่ร่วมพันธะทางการเมืองกับเรา เรายังมองเห็นแต่ ความผิดของเพื่อนร่วมชาติ

จากนั้นเราก็เที่ยวไปถือไม้เรียวทางศีลธรรมออกไปไล่ล่าโจมตีเพื่อนร่วมชาติ ว่าเขาไม่รับผิดชอบบ้าง ไม่เสียสละบ้าง ใจบาปหยาบช้าบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง

อย่างเนียนๆ อาศัยความคลั่งศีลธรรมอย่างตื้นเขินนี้ รัฐบาลก็ถือโอกาสโบ้ยเหตุแห่งการระบาดของไวรัสว่า “เป็นเพราะคนกลุ่มหนึ่งยังไม่เชื่อฟัง ยังทำตัวไม่ดี ยังไม่เชื่อฟังรัฐบาล”

การระงับการแพร่ระบาดของโรคที่ควรอาศัยองค์ความรู้เรื่องการระบาดวิทยา บูรณาการเข้ากับแผนงานทางสังคม เศรษฐกิจเพื่อลดความรุนแรงของผลกระทบที่จะต่อชีวิตทางกาย ทางใจ ทางการเงิน ทางความมั่นคงของชีวิตพลเมือง ถูกเคลื่อนย้ายไปเป็นเรื่อง การให้ความร่วมมือ เชื่อฟัง รัฐบาล และการประพฤติตัวให้ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่ออกจากบ้านในยามวิกาล ไม่หมิ่นรัฐบาล ไม่เสนอข่าวไม่สอดคล้องกับข่าวที่รัฐบาลแถลง

โดยมีโรคระบาดและการทำงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์โรคระบาดเป็นฉากหน้า โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลุ่มศีลธรรมอำนาจนิยมฟาสซิสต์ฉวยโอกาสนี้ครองอำนาจและสร้างสังคมเผด็จการทางศีลธรรมขึ้นมาอย่างแนบเนียน

แทนที่ประชาชนจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล

และตรวจสอบวัดผลลัพธ์เรื่องโควิดด้วยมาตรฐานทางระบาดวิทยา

ตอนนี้ประชาชนกลับมานั่งสนใจว่าผู้ว่าฯจังหวัดไหนสั่งงดขายเหล้า จังหวัดไหนยังไม่งด มีใครละเมิดเคอร์ฟิว

ใครด่ารัฐบาล ใครวิจารณ์หมอ

ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัมฤทธิผลของการระงับการระบาดเลยแม้แต่น้อย

การตรวจสอบของรัฐบาลเหรอ? ลืมไปเลย เพราะหน้าที่ของประชาชนตอนนี้คือให้กำลังใจรัฐบาลและทีมแพทย์ จบนะ

ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อ สิ่งที่เราจะได้หลังโควิดจบลงคือ

การเถลิงอำนาจของกลุ่มฟาสซิสต์ศีลธรรมที่จับมือกับอำนาจเผด็จการในโครงสร้างการเมืองเดิม

ท่ามกลางการล่มสลายของภาคเศรษฐกิจ คนกว่าร้อยละห้าสิบในภาคการท่องเที่ยวบริการที่จะตกงาน และความเปราะบางของทุกหลักพิงทางสวัสดิการของประชาชนแม้แต่กองทุนประกันสังคม

ยังไม่นับปัญหาสังคม ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาเด็กและวัยรุ่น ฯลฯ ที่จะตามมาจนนับคะแนนให้ไม่ทัน

ที่แน่ๆ เราจะมีประชาชนที่เป็นเหยื่ออุดมการณ์ฟาสซิสต์นี้ ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ย

ตำรวจทางศีลธรรมเที่ยวไล่ล่าแขวนคอ “เพื่อนร่วมชาติ” ด้วยกันเองอย่างโหดร้าย