เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / ขอบคุณ โควิด-19

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

ขอบคุณ โควิด-19

 

เคยได้ยินไหมครับ “กินหมูกระทะ สะเทือนถึงขั้วโลก”

คุณอาจจะเคยได้ยิน “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ที่หมายความว่าจริงๆ แล้วจักรวาลทั้งจักรวาลนั้นเชื่อมโยงกัน แค่คุณเด็ดดอกไม้บนพื้นโลก ก็สามารถสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงดวงดาวอื่นๆ และกับระบบสุริยจักรวาลได้

โอ…ช่างเปรียบเปรย แต่ก็เหยียดเย้ยกับความจริงที่เราเฝ้าโกหกตัวเองว่ามันจะเป็นขนาดนั้นเลยเหรอ…โอเวอร์ไปรึเปล่า

ผมได้อ่านบทความในเว็บไซต์ leadershipforfuture ที่ได้เขียนถึงความเห็นของ คุณจอบ-วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ อดีต บ.ก.นิตยสารสารคดี นักคิด นักเขียน และสื่อมวลชนที่ฝากความคิดดีๆ ให้กับสังคมไทยเสมอ

จึงขออนุญาตเอ่ยอ้างถึงในคอลัมน์เครื่องเคียงฯ ตอนนี้นะครับ

 

คุณจอบบอกว่า “การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่กำลังจะมา เมื่อธรรมชาติไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้แล้ว”

ตอนที่พูดจั่วหัวอย่างนี้ เป็นการพูดเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ตอนนั้นสถานการณ์ไวรัสโควิดยังไม่ปะทุรุนแรงเป็นสะเก็ดไฟเหมือนยามนี้

แต่ช่างเข้ากับเหตุการณ์และข้อมูลสนับสนุน รวมทั้งความรู้สึกของคนจำนวนไม่น้อยเลยว่า “โลกกำลังเอาคืน”

ใช่แล้ว เมื่อมนุษย์เรารุกรานธรรมชาติมากเกินไป ธรรมชาติไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้แล้ว ก็ถึงคราวที่จะ “เอาคืน” ด้วยความชอบธรรม แม้จะต้องแลกกับชีวิตมนุษย์ที่อาจจะถึงตัวเลขหลักหลายล้านก็เป็นได้

แต่หากเทียบกับจำนวนตัวเลขของสิ่งมีชีวิตอื่น ไม่ว่าสัตว์หรือพืช ยังเทียบกันไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะมนุษย์เราเข่นฆ่าล้างผลาญธรรมชาติในทุกๆ รูปแบบมาอย่างยาวนาน

เหตุการณ์ไฟป่าที่ออสเตรเลียเมื่อต้นปี ที่เผาผลาญพื้นที่ป่าที่มีขนาดราว 1 ใน 4 ของประเทศไทย มีสัตว์ป่าต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเกือบ 500 ล้านตัว โลกต้องสูญเสียสัตว์หลายชนิดที่เรียกได้ว่าสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้แล้วอย่างไม่มีวันกลับคืน

คุณจอบยังบอกอีกว่า ไฟป่าไม่ได้มีเฉพาะบนผืนดิน ในโลกของสิ่งแวดล้อมยังมีสิ่งที่เรียกว่า “ไฟป่ามหาสมุทร” ด้วย นั่นคือการที่มนุษย์กระทำการใดๆ ที่เพิ่มความร้อนลงไปในมหาสมุทร จากสถิติตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พลังงานความร้อนที่เราใส่ลงไปในมหาสมุทร เทียบได้กับระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 3.6 พันล้านลูก

ลองคิดดูแล้วกันครับว่า สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์ใต้ท้องทะเลจะเสียหายขนาดไหน นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดปรากฏการณ์ “ปะการังฟอกขาว”

และอย่างที่บอก แค่เด็ดดอกไม้ยังสะเทือนถึงดวงดาว แล้วนี่ระบบนิเวศน์ของโลกเราทั้งบนดินและใต้น้ำถูกทำลายล้างขนาดนี้ อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ถ้าไม่ใช่ความหายนะของโลกที่มนุษย์เราต้องพบเจอ

บางทีที่โลกกำลังเผชิญหน้ากับมหันตภัยไวรัสที่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กนี้ อาจจะเป็นสัญญาณเริ่มต้นของความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นได้

เมื่อโลกร้อนขึ้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดโรคอุบัติใหม่ซึ่งจะกลายเป็นโรคติดต่อชนิดใหม่ๆ ให้มนุษย์เราได้รับมือ

ยกตัวอย่าง “ยุง” แมลงตัวเล็กๆ แต่เริ่มบุกไปถึงประเทศแถบยุโรปมากขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยมีปัญหา นั่นก็เพราะอากาศของทุกพื้นที่ในโลกต่างก็ร้อนขึ้น

แล้วเกี่ยวกับอะไรกับการกินหมูกระทะอันแสนอร่อยของฉัน…ฮึ

 

เพราะมนุษย์เรากินมากขึ้น บริโภคมากขึ้นเกินความจำเป็น เรากินเนื้อสัตว์กันมากมาย สัตว์ต่างๆ ที่เป็นอาหาร ได้รับการเพาะเลี้ยง เลี้ยงดู เพื่อจะได้กลายมาเป็น “อาหาร” ให้คน ซึ่งสัตว์เหล่านี้ก็ต้องกินอาหาร และอาหารสัตว์ที่สำคัญคือข้าวโพด

สิ่งที่พบคือ พื้นที่ป่ามากมายหายไป กลายเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพด

การเผาไร่ข้าวโพดที่มีมากมาย ก่อให้เกิดมลภาวะ และอุณหภูมิของโลกสูงขึ้น

อุณหภูมิสูงขึ้นทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ในปริมาณที่มากจนน่าตกใจ อย่างที่เราได้ข่าวมา

เทือกเขาหิมาลัยที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญของแม่น้ำหลายสาย จากข้อมูลพบว่าอัตราการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยเข้าขั้นวิกฤตถึงปีละ 8,300 ล้านตัน ซึ่งเทียบได้กับน้ำหนักของช้างจำนวน 1 พันล้านตัวเลยทีเดียว

และถ้าเป็นอย่างนั้น อีกไม่นานภาวะการแย่งชิงน้ำจืดจะเกิดขึ้นแน่นอน

 

ที่ผมจั่วหัวตอนนี้ว่า “ขอบคุณ โควิด-19” ก็เพราะอาจจะถึงเวลาที่มนุษย์เราต้องหันกลับมามองตนเองอย่างถ่องแท้ ที่ผ่านมาอาจจะไม่มีเสียงปืนนัดไหนที่ดังพอ อาจจะไม่มีแสงจากพลุดวงไหนสว่างจ้าพอ ที่จะกระตุกให้มนุษย์เราได้หยุดและขบคิดอย่างจริงจัง

ที่คำพระเคยบอกว่า “ให้คิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต ดูซิว่าคุณจะใช้ชีวิตอย่างไร”

แต่เราก็ไม่เคยลองคิดและทำอย่างนั้นจริงๆ สักครั้ง หรือทำแบบหน่อมแน้มไม่ต่อเนื่องจริงจัง

แต่เหตุการณ์ยามนี้ที่เห็น “ความไม่แน่นอน” อยู่ตรงหน้า อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็เห็น อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิด จะทำให้เราได้ “คิดวิเคราะห์” อย่างจริงจัง

ถ้าไวรัสโควิดจะเป็นฮีโร่ ที่ทำให้โลกเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม้จะต้องเดิมพันกับความเจ็บปวดและสูญเสียครั้งใหญ่ของมนุษยชาติได้จริง ผมก็ยินดีที่จะขอบคุณตามที่ได้จั่วหัวไว้

 

แต่สำหรับวินาทีนี้ นาทีนี้ คนที่เป็น “ฮีโร่ตัวจริง” คือ “บุคลากรทางการแพทย์” ที่เหมือนนักรบแนวหน้าที่ต้องเสี่ยงตายต่อสู้กับโรคร้ายนี้ให้คนอื่นรอด และตนเองก็รอดด้วย

เราที่อยู่เฉยๆ ตอนนี้ ต้องทำตัวให้สมกับเป็นแนวหลังที่อย่าสร้างปัญหาซ้ำเติมให้กับแนวหน้า ไม่ต้องอะไรเลย ทุกวันนี้เราปลอดภัยกว่าพวกหมอๆ พยาบาล และเจ้าหน้าที่เหล่านี้อย่างเทียบกันไม่ติด

ลองคิดถึงสงครามที่เป็นการรบพุ่ง หากสุดท้ายเหล่าฮีโร่แนวหน้ามีอันต้องแพ้ข้าศึกราบคาบ ต้องจบชีวิตลงกลางสนามรบ แล้วจะมีใครเหลือมาเป็นผู้พิทักษ์รักษาเราได้

นึกถึงหนังเรื่อง Avengers : End Game ขึ้นมาเลยตอนนี้

หากสุดท้ายตอนจบ เหล่าฮีโร่ต้องแพ้พ่าย ศัตรูร้ายมีชัยชนะ ก็ขอให้เป็นความสูญเสียที่คุ้มค่า ถ้ามันจะล้างโลกใบนี้เพื่อ set zero กันใหม่จริงๆ เพื่อโลกใหม่ที่ดีกว่าเดิม

อย่างที่บอกไว้…บางทีธรรมชาติจะไม่สามารถเยียวยาตัวเองได้แล้วจริงๆ

และเมื่อนั้นมนุษยชาติต้องร่วมกันรับผิดชอบ

อย่าลืมว่า… “กินหมูกระทะ สะเทือนถึงจักรวาล” ได้จริงๆ นะ…จะบอกให้