สนทนานัดหยุดโลก : จาก “ดำทมิฬ” สู่ “บัวขาว” (3) | กาแฟดำ

สุทธิชัย หยุ่น

บทสนทนา “นัดหยุดโลก” ของผมกับ “บัวขาว” ที่รีสอร์ต “บัวขาววิลเลจ” ณ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้ผมเห็นอะไรในตัวนักมวยระดับโลกคนนี้ที่น่าสนใจหลายประการ

เขาไม่ใช่แค่นักมวยที่มีหมัดหนักและความอึดเป็นเยี่ยม แต่ยังมีความฝันและความมุ่งมั่นที่หาได้ยาก

ผมมีคำถามหลายข้อที่ชวนเขาคุย และ “บัวขาว” ก็เปิดใจเกือบทุกประเด็นอย่างเป็นธรรมชาติ

นี่เป็นตอนที่สามของบทสนทนาอันสนุกสนานวันนั้น

ผมคัดอีกบางตอนมาให้ได้อ่านกันครับ

ถาม : ตอนไหนที่เปลี่ยนจาก “ดำทมิฬ” เป็น “บัวขาว”

ตอบ : มาเปลี่ยนชื่อตอนเข้ากรุงเทพฯ หัวหน้าค่ายให้เปลี่ยน เขาคงอยากให้แปลกแหวกแนวมั้ง มีชื่อมาให้เลือกหลายชื่อ มี “ห้าห่วง” และ “บัวหิมะ” โน่นนี่นั่น “สะท้านภพ” “สะท้านฟ้า” “สะท้านเมฆ” อะไรของเขามากมาย แล้วก็มีเสนอชื่อ “บัวขาว” มาด้วย เขาให้ผมเลือก

ผมก็ “เอ้…กำลังจะเลือกชื่อห้าห่วงเหมือนกันนะ ตอนนั้นห้าห่วงดัง มีโฆษณากระเบื้องห้าห่วงอะไรนั่นน่ะ คิดไปคิดมา ไม่เอาห้าห่วง เอาบัวขาวดีกว่า เพราะกว่า

ถาม : บัวขาวนี่ตรงข้ามกับดำทมิฬเลยนะ ตั้งใจให้ตรงกันข้ามเลยใช่ไหม

ตอบ : ตั้งใจครับ อย่างน้อยชื่อก็ยังขาวขึ้นหน่อยว่ะ อะไรทำนองนั้นแหละ

ถาม : พอเปลี่ยนชื่อก็ลื่นไหลเลยใช่ไหม

ตอบ : ใช่ครับ แรกๆ ก็ยังเรียกไม่ค่อยสะดวกปากเท่าไหร่ มันเข้ากับตัวเราหรือเปล่า แต่ชกไปชกมาก็ดีขึ้น ชื่อเรียกง่าย แต่คนจีนยังเรียก “บัวเฉียว” อยู่เลย เขาเรียก “บัวขาว” ไม่เป็น

ถาม : ตั้งแต่นั้นก็เริ่มรุ่งเลยใช่ไหม

ตอบ : ครับ ตอนนั้นก็เริ่มคัดตัวไปชกเมืองนอก พอดีผมได้ที่หนึ่งของรุ่น เลยได้เป็นตัวแทนไปชกเมืองนอก ตอนนั้นเป็นมวยญี่ปุ่น มันพลิกวิถีชีวิตของผมเลย คนดูมวยระดับโลกมีถึง 3-4 หมื่นคน

ถาม : นั่นเป็นการไปชกเมืองนอกเป็นครั้งแรก ตื่นเต้นมากไหม

ตอบ : ตื่นเต้นครับ คู่ชกผมแต่ละคนปึ้กๆ ทั้งนั้น ผมย้อนดูวิดีโอยังสงสัยว่าตัวเองผ่านมาได้ยังไง ก่อนนอนก็มาดูวิดีโอของการชกตัวเองตลอด ศึกษาตัวเองในแต่ละไฟต์ เราไม่ได้ศึกษาคู่ต่อสู้อย่างเดียว เราต้องศึกษาวิเคราะห์ตัวเองด้วย เพื่อจะได้ปรับสไตล์การชกของตัวเองอย่างไร เราดูตัวเอง เราไม่ได้ดูคนอื่น ต้องดูว่าตัวเองได้มาตรฐานขนาดไหน ต้องดูตัวเองก่อน แล้วจึงดูคู่ต่อสู้

ถาม : เทรนเนอร์มาดูพร้อมกับเราไหม

ตอบ : ตอนนี้เราดูตัวเองแล้ว เราเป็นมืออาชีพแล้ว เราดูตัวเองแล้ว เราไปบอกเทรนเนอร์ว่าให้ซ้อมอย่างนี้ เหมือนเราเลือกเสื้อผ้า คนอื่นบอกว่าสวย แต่เราใส่ไม่ได้ ทำยังล่ะ เทรนเนอร์ก็ไม่รู้ดีเท่าเรา เราดูแล้วเราต้องการชกแบบนี้ เราต้องซ้ำตรงนั้นตรงนี้ มาศึกษาและคุยกับเทรนเนอร์ ให้เทรนเนอร์มาดัดแปลง แล้วเราก็ดัดแปลงเข้าหากัน เราชกอย่างนี้ คู่ต่อสู้แพ้เตะเว้ย ก็มาบอกเทรนเนอร์ว่าเราต้องเตะเยอะๆ

ถาม : เราก็ต้องศึกษาคู่ต่อสู้เราอย่างละเอียดด้วย

ตอบ : ใช่ เราอาจจะเห็นว่าเฮ้ย เขาแพ้ถีบเว้ย เราก็มาเล่นกับเทรนเนอร์ เทรนเนอร์ก็รู้แล้วว่าเราต้องถีบ เขาก็จะรับถีบของเรา เราต้องบอกเขา บางคนไปดูคนอื่นอย่างเดียว ไม่ศึกษาตัวเอง ก็ไม่ได้

ถาม : ที่ญี่ปุ่นคือชนะต่างประเทศครั้งแรก

ตอบ : ใช่ครับ ปี 2004 ทุกคนก็ฮือฮาเกี่ยวกับมวยไทย คนญี่ปุ่นคลั่งเลยตอนนั้น มาทุกสไตล์เลย

ถาม : จากวันนั้นที่ญี่ปุ่นถึงวันนี้กี่ปีแล้ว

ตอบ : สิบกว่าปีแล้วครับ

ถาม : ชื่อเสียงทำให้บัวขาวเปลี่ยนไหม

ตอบ : เปลี่ยนไหม เปลี่ยน เปลี่ยนความคิด แต่สภาวะไม่เปลี่ยน ยังเป็นนักมวยเหมือนเดิม เปลี่ยนความคิด ต่อยอดความคิดของเรา ทำให้เราต้องคิดว่าทำอย่างไรให้แฟนคลับยังอยู่กับเรา ให้มาหาเรา จึงได้มาทำบัวขาววิลเลจแห่งนี้ มีคนถามว่าทำไมมาทำเสียไกล ผมบอกว่าผมไปหาคนอื่นเหนื่อยแล้ว ผมอยากให้คนอื่นมาหาผมบ้าง

ถาม : แต่การจะให้คนอื่นมาหาเรา เราต้องสร้างสิ่งดีๆ ให้เขามาหา

ตอบ : ถูกต้องเลยครับ พออาจารย์บอกว่ามา ผมก็ตัดคิวอื่นออกไปเลยครับ ผมทำนี่ต้องใช้ศิลปะครับ ชกมวยก็ต้องมีศิลปะการชก การทำอย่างนี้ก็ต้องมีศิลปะอีกอย่าง

ถาม : ชกมวยอาชีพมา 20 กว่าปี มีปัญหาทางสุขภาพไหม

ตอบ : บางทีบนเวทีก็มีเลือดออกบ้าง เลือดออกเป็นเรื่องปกติ ความจริงเลือดออกนั้นเป็นเรื่องดี ล้างก็หาย อย่าให้ช้ำเป็นพอ ถ้าเลือดไม่ออก คั่งอยู่ข้างในนั่นแหละน่ากลัว นักมวยรุ่นหลังๆ ก็มีอุปกรณ์ช่วย นอกจากจะโดนหนักๆ โดนเส้นก็ซวยไป ไม่เป็นไร นั่นคือการต่อสู้

ถาม : เคยโดนหนักที่สุดอย่างไร

ตอบ : เคยครับ เยี่ยวเป็นเลือดเลย เป็นอยู่หลายวัน แต่ร่างกายเราแข็งแรง เจอฝรั่งตัวใหญ่ วันหนึ่งชกสามครั้ง พอชนะแล้วต้องขึ้น ชนะอีกก็ต้องขึ้นอีก ร่างกายเราทนได้ เพราะเราซ้อมมาดี แต่ภายในเรา เหมือนเอาไว้ไปทุบปึ้ง ผิวหนังอาจไม่เป็นไร แต่ข้างใน ตับไตไส้พุงก็ทนไม่ได้ ถ้าไม่มีเครื่องมือเซฟตี้ก็อาจบาดเจ็บหนักได้ แต่ก็มีการตรวจเป็นประจำ แพทย์ก็ขับออกได้

ถาม : นักมวยบางคนโดนกระแทกหนักๆ ตอนแก่ก็เป็นโรคอะไรต่างๆ

ตอบ : ใช่ครับ แต่มวยไทยนี้ปลอดภัยที่สุดแล้ว ฟุตบอลอันตรายกว่ามวยไทยนะครับ มวยไทยนี่อันตรายน้อยที่สุดแล้ว มวยสากลเหมือนไก่ชนกัน มันตีแต่หัว ชกกันตรงหัวนี่แหละ มวยไทยยังมีการโดนแขนโดนขา แต่มวยสากลนี่ผมจ้องแต่คางและหัวเท่านั้น แล้วมัน 12 ยกด้วยครับ มวยไทยก็ 3 ยกหรือ 5 ยกเท่านั้น โดนศอก แตกก็แตก นิดเดียว โดนส่วนอื่น หักก็หัก ก็ดามเท่านั้นเอง แต่อย่างฟุตบอลนี่บางคนโดนหนัก ถึงเลิกเล่นเลยก็มี เส้นเซิ่นไปหมดเลย นั่นอันตรายกว่านักมวยอีก มวยไทยคนเห็นเลือดก็นึกว่าน่ากลัว มวยสากลไม่เห็นเลือดแต่มันช้ำข้างใน

ถาม : ที่บัวขาวแพ้แย่ที่สุดแมตช์ไหน

ตอบ : ตอนชกกับฝรั่งรัสเซีย เลือดท่วมเลย มันไม่ได้เป็นอะไร แต่คนตกใจเพราะเห็นเลือดมันเยอะ ก็แค่เลือดออก เย็บเสร็จก็หาย มันไม่ได้บอบช้ำ มันโดนศอก ถ้าโดนหนักแล้วเลือดไม่ออกนี่ซิอันตราย…

ถาม : สำหรับบัวขาว คำว่าแพ้มีความหมายอย่างไรบ้าง

ตอบ : สำหรับผม คำว่าแพ้คือการต่อยอดไปข้างหน้า แต่เราต้องไม่ซีเรียสกับคำว่าแพ้

(คุณ “ยิ้ม” ผู้จัดการบัวขาวมาร่วมวงสนทนาช่วงนี้)

ถาม : คุณยิ้มครับ บัวขาวมีจุดอ่อนอะไรบ้าง

ยิ้ม : จุดอ่อน? คำถามนี้คมมากเลยครับ

ถาม : อารมณ์บูดบ่อย เป็นเผด็จการไหม

ยิ้ม : ไม่เผด็จการครับ รับฟังสัก 90% ได้ ที่ฟังแล้วไม่ทำก็อาจจะแอบไม่ทำบ้าง นิดหน่อย เขาพยายามเรียนรู้ ที่ผิดพลาดก็เรียนรู้ ที่สำเร็จก็เรียนรู้ ก็ไปต่อได้ จุดอ่อนแทบไม่มี…ที่ผมเงียบนี้กำลังพยายามนึกครับ

บัวขาว : จุดอ่อนอาจจะบางครั้งตัดสินใจเร็ว คิดเร็ว บางทีผู้จัดการและทีมงานยับยั้งเอาไว้

ถาม : ทีมงานกล้าแย้งเราไหม

บัวขาว : ก็มีครับ เขาบอกว่าทำไม่ได้ มันยาก

ยิ้ม : ทีมงานจะบอกว่าถ้าจะทำได้ ทำได้แบบนี้ เอาไหม มีแผนหนึ่งแผนสองให้เลือก แต่วันนี้หลังจากที่อาจารย์ถามว่าบัวขาวมีจุดอ่อนอะไร จะเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งที่บัวขาวจะต้องไปต่ออีก เพราะเมื่อเรารู้จุดอ่อนแล้วเราจะแข็งกว่าเดิม วันนี้อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนอีกวันหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครเคยถามอย่างนี้

บัวขาว : ไม่มีใครเคยถามอย่างนี้มาก่อน ตอนนี้ผมต้องมาคิดว่าจุดอ่อนของผมเองมีอะไร จะได้ปรับปรุงตัวเองต่อไป