วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร/อวี้หวัง ปรีติ ปราโมทย์ (37)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

อวี้หวัง ปรีติ ปราโมทย์ (37)

จิ้งหวังรู้สึกอย่างไรเมื่อประสบกับคำถามนี้ แม้เผชิญกับสายพระเนตรดุดันของพระบิดา แต่จิ้งหวังกลับไม่ปรากฏแววแห่งความหวาดหวั่น เพียงปาดชุดเดินออกจากแถวตรงไปคุกเข่า

“ลูกทราบความผิดพ่ะย่ะค่ะ”

“เจิ้นถามเจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจวิ้นจู่มีภัย ถึงบุกเข้าไปช่วยนางได้ทันเวลาพอดี” อย่าว่าแต่จักรพรรดิเลยที่กังขา แม้กระทั่งตัวจิ้งหวังเองก็สงสัย

ยามได้ยินคำถามจึงบังเกิดความรวนเร

ที่ช่วยจวิ้นจู่เพราะเหมยฉางซูเรียกให้ไป แต่ประเด็นที่แหลมคมยิ่งกว่ายังเป็นเหมยฉางซูรู้ได้อย่างไรว่าจวิ้นจู่มีภัย

ในยามสับสนไม่รู้จะทูลตอบอย่างไร สุ้มเสียงราบเรียบหนึ่งพลันดังขึ้น

“ทูลเสด็จพ่อ เป็นลูกไหว้วานจิ้งหวังเอง ลูกเข้าวังคารวะเสด็จแม่จากประตูผู่ชิงตัดผ่านตำหนักเจาเหริน ระหว่างนั้นเห็นสาวใช้ประจำตัวของจวิ้นจู่ถลาออกมาขอความช่วยเหลือบอกว่าด้านในสถานการณ์ไม่สู้ดี ลูกคิดว่าเรื่องราวต้องไม่ธรรมดา ดังนั้น ตัดสินใจกระทำผิดล่วงล้ำตำหนักกุ้ยเฟย

แต่ก็ตระหนักดีว่าตัวเองพลังฝีมืออ่อนด้อยเกรงว่าบุกเข้าไปด้านในจะถูกขัดขวางก่อให้ล่าจนเกิดเหตุร้ายต่อจวิ้นจู่จึงขอให้เขาล่วงหน้าไปก้าวหนึ่งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ส่วนตัวเองไปเชิญเสด็จหวงโฮ่ว เป็นเพราะคำไหว้วานของลูก

หากเสด็จพ่อจะทรงลงทัณฑ์ ลูกยินดีร่วมรับผิด”

 

ในความเห็นของ “ไห่เยี่ยน” อวี้หวังกล่าวด้วยวาจาฉะฉานไม่มีจุดใดไม่สมเหตุผล สกุลเย่วแม่ลูกประจักษ์แก่ใจ คำพูดที่ว่าสาวใช้วิ่งออกมาขอความช่วยเหลือจนถึงจิ้งหวังวิ่งเข้าตำหนักนั้น ในแง่ของเวลาเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

แต่ยามนี้พวกเขาไม่เหลือคุณสมบัติใดให้เปิดปากชี้แจงข้อสงสัย ซ้ำเรื่องเล็กน้อยยิบย่อยเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ดังนั้น จึงมิได้เอ่ยปากโต้แย้ง

จักรพรรดิเหลียงแม้ทรงทราบดีว่าอวี้หวังมิได้คุณธรรมสูงส่งดั่งคำโอ้อวด ทว่าเหตุการณ์โดยรวมทรงเชื่อว่าเป็นจริง ดังนั้น ผงกพระเศียรพลางตรัส

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ แต่จิ้งเหยียนกระทำผิดต่อเบื้องสูง ข่มขู่รัชทายาทเป็นตัวประกัน ตามกฎสมควรลงโทษสถานหนัก”

ถึงตอนนี้สีหน้าหนีหวงจวิ้นจู่แปรเปลี่ยน

“คิดดูอีกที การกระทำผิดเพราะมีสาเหตุ ซ้ำอวี้หวังยังยินดีร่วมรับโทษ ยิ่งไปกว่านั้นช่วยเหลือจวิ้นจู่ถือเป็นความชอบ หักล้างซึ่งกันและกัน ถือว่าไม่มีความชอบและไม่มีความผิดก็แล้วกัน”

ที่โทษฐานอ่อนเบาลงกระทั่งไม่มีโทษเนื่องแต่สีหน้าหนีหวงจวิ้นจู่โดยแท้

 

การค้าครั้งนี้เท่ากับอวี้หวังได้กำไรเกินคาดแม้ไม่ค่อยได้ออกหน้า แต่กลับกลายเป็นผู้ชนะสูงสุดเหนือกว่าใครทั้งหมด ทั้งได้หน้าจากคำชมเชยของจักรพรรดิ

ทั้งสร้างบุญคุณใหญ่หลวงเพราะออกหน้ารับรองจิ้งหวัง

และเนื่องจากรุดไปช่วยเหลือจวิ้นจู่ทำให้กลายเป็นผู้มีพระคุณของจวนมู่แห่งอวิ๋นหนาน

ผลเสียเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เอาความเกลียดชังส่วนใหญ่ของรัชทายาทรวบรวมสะสมไว้กับตัวเอง เพิ่มความอาฆาตแค้นระหว่าง 2 ฝ่ายให้ลึกล้ำ

ทว่าในความคิดของอวี้หวัง เขากับรัชทายาทก็เป็นดั่งเสือ 2 ตัวร่วมถ้ำ พร้อมขย้ำกันให้ตายไปข้างหนึ่ง พอกเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งไยมิใช่แตกต่าง ดังนั้น ผลเสียเพียงหนึ่งเดียวจึงไม่นับว่าเป็นผลเสีย ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการค้าที่มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน

ดังนั้น ในใจจึงเบ่งบานปานบุปผา ทั้งอดนับถือความรอบรู้ของซูเจ๋อ อัจฉริยะฉีหลินท่านนั้นไม่ได้ ดีที่ตอนเร่งรีบเข้าวังหลังจากได้รับข่าวจากหวงโฮ่วระหว่างทางได้พบกับเขาโดยบังเอิญ และดีที่ตนยอมลดเกียรติตัวเองเพื่อขอคำชี้แนะถึงแผนการรับมือ

มิฉะนั้น อาศัยสติปัญญาตัวเองคงคิดไม่ออกว่าจะเอาความดีความชอบทั้งหมดกอบโกยเข้ามาอยู่ในมือตัวเองได้อย่างไร

แต่จะว่าไปจิ้งหวังก็หาญกล้าบ้าบิ่นจริงๆ

เสียดายที่มุทะลุเกินไป มัวแต่พะวงหน้ามิได้ระวังหลัง บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่มีค่าให้ต่อกร ครั้งนี้หนุนหลังให้ท้ายต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ ในใจเขาต้องซาบซึ้งตื้นตันใจอย่างแน่นอน ขณะกำลังครุ่นคิดถึงจิ้งหวังและเลยไปถึงหนีหวงจวิ้นจู่ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ดีที่วันนี้อวี้หวังลุกขึ้นช่วยเหลือ บุญคุณใหญ่หลวงเหนือคำขอบคุณ วันหน้าแม้นมีโอกาสย่อมทดแทนแน่นอน”

เป็นเสียงของหนีหวงจวิ้นจู่

 

ไม่ว่าจิ้งหวัง ไม่ว่าหนีหวงจวิ้นจู่ ไม่ว่าเหมิงจื้อ ล้วนปล่อยให้ความปลาบปลื้มยินดีตกเป็นของอวี้หวังแต่เพียงผู้เดียว

ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเหมยฉางซู

“ความจริง ท่านมาช่วยข้าทันเวลาเป็นเพราะท่านซูกระมัง” นั่นก็คือบทสรุปจากหนีหวงจวิ้นจู่