การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันยังพยายาม

“ทําอะไรกันอยู่เหรอ”

ดอกมะลิย่นหัวคิ้ว พาร่างอวบใหญ่มายืนหยุดอยู่ใกล้ๆ ชะโงกหน้าจ้องดูซองจดหมายในมือฉัน

รีบยัดซองเข้าในกระเป๋ากางเกง พับมันลวกๆ ฉันผุดลุกขึ้น ผมบ๊อบก็ลุกตามกัน

“ไม่มีอะไร” ฉันปฏิเสธ

“พวกเธออ่านอะไรกันอยู่ จดหมายของใคร”

ฉันให้นึกหงุดหงิดขึ้นมา ไม่แน่ใจว่า เพราะใจยังติดค้างในสิ่งที่พูดกันกับคนผมบ๊อบอยู่ หรือเพราะคำถามนั้นเสียดแทงใจ

จะถามเพื่ออะไร

ในโลกใบนี้ มีคำถามมากมายเต็มไปหมดจนจะท่วมหัวหูอยู่แล้ว รวมถึงคำถามในหัวของตัวฉัน

ไม่นับคำถามเหล่านั้น…ที่ยังตกค้างในบทกวี

“จะรู้ไปทำไม!”

ดอกมะลิหน้าเสีย รีบลนลานพูด

“ฉันแค่อยากรู้…ถ้าเธอไม่อยากตอบก็ไม่ว่า ทำไมต้องโกรธฉันด้วย”

ความซื่อใสที่กระจ่างอยู่ในใบหน้า ทำให้ตัวฉันเป็นฝ่ายอับอายวูบขึ้นมา แต่ก็นั่นเอง ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น

แม้แต่ความซื่อตรงจากใจ บางครั้งก็เป็นหอกดาบได้พอๆ กัน

ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะตีสีหน้ายังไง…หรือควรทำอย่างไรต่อ เหลือบตาดูอีกคนใกล้ๆ ก็เห็นยืนนิ่ง

“ไม่มีอะไรหรอก ขอโทษแล้วกันนะ” ตัดสินใจเอ่ยปากไปให้จบเรื่องเสีย “ไปทำงานกันเถอะ”

 

แต่ในตลอดวันนั้น แม้จะอยู่กับการงานเหมือนทุกวัน แต่ฉันก็ยังสำเหนียกได้ว่า ดอกมะลิมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พอเดินไปใกล้ เด็กสาวก็จะเลี่ยงห่างอย่างจงใจ คนผมบ๊อบก็เช่นกัน ในระยะห่างกันเพียงคืบเพียงวา ราวมีเส้นล่องหนกั้นหน้า

และแม้ต่างจะพยายามทำงานไปในหน้าที่ของตน ฉันก็รู้ว่า แต่ละคนล้วนมีความในใจ

จนเกือบบ่ายสองโมง หลายคนจับกลุ่มกินกันไปแล้วก่อนหน้า ทว่า ดอกมะลิ นวล และฉัน ยังไม่มีใครได้กินข้าวอีก

ดอกมะลิกำลังกวาดพื้นทางเดินอยู่ ตอนที่ฉันเข้าไปหา

“ยังไม่กินข้าวหรือ มะลิ”

ดอกมะลิเหลียวมองดูฉัน ปากบางเม้มขบกัน

“ถ้าเธอหิวก็ไปกินสิ”

“ฉันถามในส่วนของเธอ”

ดอกมะลิหยุดไม้กวาดในมือ เปลี่ยนสายตามามองหน้าฉัน

“ทีฉันถามเธอ เธอยังไม่ตอบฉัน แล้วฉันจะตอบเธอไปทำไม”

ใจฉันอ่อนลงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทำไมจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดในเรื่องนี้

แค่…มีสิ่งเสียดแทงในใจตัวเอง กลับไปลงเอากับคนอื่น

ซึ่งไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นคนคนหนึ่งที่มีน้ำใจต่อฉันในวันนี้

“ฉันขอโทษนะมะลิ” ตัดสินใจพูดออกไปเบาๆ “ฉันมีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ เลยทำให้ทำตัวไม่ดีกับเธอ…”

ตามจริง ฉันไม่ใช่คนที่จะ “พูด” ถึงความรู้สึกของตัวเองนัก

ซึ่งนั่นเองทำให้มีบทกวีไหลออกมาสู่กระดาษสมุดหน้าแล้วหน้าเล่า

แต่ถึงจุดหนึ่ง ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าจะพูดมันออกไปบ้าง…อาจจะดีก็ได้

และไม่เสียดายเลยที่ได้ปล่อยคำพูดหล่นไป เพราะดวงตาใสซื่อหวนกลับมาฉับพลัน

ดอกมะลิยิ้มจนเต็มหน้า ราวว่าเป็นเพียงเด็กเล็กๆ สักคนหนึ่งที่ไร้จริตมายา

“งั้นฉันไม่โกรธเธอแล้ว!”

“อ้าว” ฉันเสียอีก เป็นฝ่ายยังตั้งตัวไม่ทัน “เธอหายโกรธฉันง่ายๆ เลยหรือ?”

“ทำไมล่ะ” ดอกมะลิสอดแขนเข้ามาคล้องแขนฉัน “ในเมื่อเธอพูดดีกับฉันแล้ว ขอโทษฉันแล้ว ทำให้ฉันเข้าใจเธอแล้ว ทำไมฉันจะต้องโกรธเธอต่อไปอีก”

“…”

“หิวข้าวจะแย่แล้ว นวลอยู่ไหนล่ะ ไปชวนเธอมากินข้าวกันเถอะ”

 

ฉันไม่แน่ใจว่า ตัวเองพอจะเข้าใจดอกมะลิทั้งหมดหรือไม่ แต่ก็เกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ถ้าเพียงแต่…ถ้า…คนเราจะตัดใจจากสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

ตัดอารมณ์ ตัดความรู้สึก ไม่ต้องรู้สึกรู้สาให้มากไป ไม่ต้องเก็บอะไรมาคิดให้ซับซ้อน

ชีวิตคงจะง่ายกว่านี้

เหมือนอย่างที่กำลังมองไป เห็นดอกมะลิกำลังหัวเราะด้วยใบหน้าสว่างไสว จนแม้แต่คนผมบ๊อบที่นั่งร่วมโต๊ะก็พลอยยิ้มจางๆ อยู่ในหน้า

เวลาผ่านมาอีกหลายวัน เรากลับมาคุยกันอย่างเก่า…ระหว่างฉันกับดอกมะลิ

แต่คนที่กลับพูดน้อยลง และยังไม่มีบทสนทนาระหว่างเราใหม่ กลับเป็นคนที่ห้วงหนึ่ง…ฉันคิดว่าเราเคยใกล้

ฉันไม่รู้ว่าผมบ๊อบคิดอะไร ภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่บางสิ่งบางอย่าง ก็ทำให้เหมือนมีเส้นบางๆ กั้นเราใหม่

จนถึงวันที่นั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันอีกวันหนึ่ง ท่ามบรรยากาศที่กึ่งแจ่มใส แต่ราวมีอะไรค้างใจเบาๆ…เหมือนก่อนหน้านั้นอีกหลายวัน

ฉันกำลังตักน้ำแข็งใส่แก้วอลูมิเนียมมีหู เติมน้ำให้ท่วมสองแก้ว ด้วยอาสาจะมาตักน้ำไปให้เพื่อนร่วมงานทั้งสอง พลางอดคิดในใจไม่ได้ว่า เอาเถอะ ไว้ฉันจะลองฝึกใจดู…

 

[ฉันก็อยากมีชีวิตสวยสวย

ไม่ต้องร่ำรวยเทียบเท่าเศรษฐี

เพียงให้ในอกก้อนนี้

เหมือนมีก้อนเมฆแทนใจ

 

สามารถล่องลอยอิสระ

พ้นจากพันธะหมองไหม้

พบความร้ายเลวเหวใด

สามารถปีนได้ข้ามพ้น

 

ฉันก็ไม่อยากเจ็บจม

กับห้วงอารมณ์ร่วงหล่น

แม้แต่คมบาดหยาดฝน

เคยเทหลั่งบนเปลือกตา

เจ็บแสบแปลบร้าวเหล่านั้น

อยากทิ้งเหวี่ยงขว้างมันพ้นหน้า

หรือไม่ก็ใจเย็นชา

จนกว่าจะตายดับเสีย…]

 

มีเสียงอย่างหนึ่งดังขึ้นภายในร้าน พร้อมกับยินการกรีดร้องขึ้น ฉันกำลังจะยกเท้าย่างกลับไปที่โต๊ะ มือประคองถาดวางแก้วน้ำ ฉับพลัน เหมือนโลกรอบตัวกลายเป็นภาพช้ากว่าความจริง

ทุกสิ่งไหวพร่า ช้าไปหมด

…สิ่งที่ฉันเห็น ดอกมะลิเบิกตากว้าง อ้าปากร้องตะโกน แต่ราวหูฉันดับไปเสียก่อนแล้ว จึงเห็นเพียงภาพเก้าอี้ล้มกระเด็นไปอย่างถนัดถนี่ กับร่างที่ครูดลงกับขอบโต๊ะ

นวล!

ฉันเหวี่ยงถาดน้ำออกไปพ้นตัว แต่เหมือนขาทั้งสองข้างไม่ใช่ของฉัน ระยะเพียงไม่กี่เมตรราวไกลสุดขอบฟ้า ฉันคิดว่าตัวเองกำลังพุ่งไปข้างหน้า ความจริงคือฉันช้ากว่าใครๆ ทั้งหมด

“เรียกหมอ! เรียกรถพยาบาล!” ยินเสียงคนตะโกนอีก

ดอกมะลิลงไปนั่งขาแปบนพื้น มือใหญ่ประคองหัวเพื่อนไว้ในตัก เขย่าตัวแรงๆ

“นวล! นวล! เธอเป็นอะไร! อย่าเพิ่งหลับสิ!”

ใบหน้าของนวลซีดขาว แล้วเราก็เห็นสีแดงค่อยๆ ไหลซึมเปื้อนออกมาจากวงหว่างขา ฉันใจหายวาบ เห็นปากเซียวอ้าเผยอ และอกที่ยังกระเพื่อมหายใจ

แต่สายสีแดงเหล่านั้น กำลังหลั่งไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ…เรื่อยๆ

“อีนวลแท้งลูก!” ยินเสียงใครตะโกนอีก

ดอกมะลิตะเบ็งเสียงร้องไห้ คออวบหนามีเส้นเอ็นปูดโปนขึ้น

“นวล! นวล! อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ!”

 

[เราจะหัวเราะกับโลก

เพื่อหวนพบโศกเหี้-ย-เหี้-ย

วนในอ่างสาปอาบเลีย

ได้แล้วพลัดเสียอีกแค่ไหน…]

บทกวีที่ไม่ต้องการเขียน ดังปะทุอยู่ในหัวฉันเหมือนดอกไม้ไฟ ยิ่งเลือดในหว่างขาของคนผมบ๊อบแผ่วงกระจายกว้างเท่าไหร่ กระดาษไร้เส้นก็ยิ่งกว้างใหญ่ขึ้นเท่าแผ่นฟ้า

ฉันยังพยายามจะยกขาพุ่งตัวไปข้างหน้า แต่ก็รับรู้เพียงว่า ตัวเองได้แต่เพียงจิกปลายตีนลง…คุกเข่าลง