เยาวชนหวาดกังวลต่ออนาคตของตัว ในสังคมที่ผู้มีอำนาจอยากทำอะไรก็ทำ

แค่ขอให้ “ฝากอนาคต” ได้

ถ้าติดตามการออกมาร่วมกัน “แฟลชม็อบ” ของนักเรียน นักศึกษาที่เป็นกระแสทั่วประเทศในขณะนี้ โดยลงไปในรายละเอียดเพื่อสัมผัสถึงแรงกระตุ้นลึกๆ ในใจ จะพบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เยาวชนของชาติก้าวข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว

ข้ามแม้กระทั่ง “พรรคอนาคตใหม่” อันเป็นพรรคการเมืองที่เป็นเหยื่อของการไล่ล้างล่าสุด

จริงอยู่หากวัดกันที่จุดเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวถูกจุดขึ้นมาจากการที่ “พรรคอนาคตใหม่” ถูกยุบ

แต่หากฟังเสียงที่สะท้อนจากใจของหนูๆ น้องๆ หรือลูกหลานที่ออกมาเคลื่อนไหว จะพบว่านั่นเหมือน “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ถมเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดก่อนที่จะหมดความอดทนเท่านั้น

อารมณ์ที่สะสมอัดแน่นและกดดันอยู่ในใจเป็นความรู้ที่ “มองหาอนาคตตัวเองไม่เห็น” จากความเป็นไปที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

เรื่องราวของโครงสร้างอำนาจที่เอื้อต่อการผูกขาดสืบทอด การเอื้อประโยชน์ให้กับทุนใหญ่ และกดทับ ปิดกั้นโอกาสคนส่วนใหญ่ถูกนำเสนอให้รับรู้มาต่อเนื่อง

พร้อมๆ กับภาพสะท้อนของสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดความเชื่อว่าคนรุ่นนี้จบออกมาแล้วจะหางานทำได้ ด้วยเหตุของความเปลี่ยนแปลงสารพัด ซึ่งที่สุดแล้วสรุปที่ผู้บริหารบ้านเมืองไม่มีความรู้ความสามารถพอที่จะนำการปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลง

เด็กต้องการการทำแบบใหม่ ซึ่งพรรคการเมืองที่มีกลิ่นอายอย่างที่พอจะหวังได้คือ “อนาคตใหม่”

ดังนั้น เมื่อกลิ่นเก่าไม่ยอมให้กลิ่นใหม่ที่เป็นความหวังมากกว่าที่โอกาสที่จะเป็นปากเป็นเสียงแทน การลุกฮือขึ้นมาจึงเกิดขึ้น เหมือนกับว่า “อนาคตใหม่” คือเป้าหมายของความเคลื่อนไหว

“นิด้าโพล” ก็ดูจะเชื่ออย่างนั้น ผลสำรวจล่าสุดจึงออกมาในเรื่อง “เรื่องของอนาคตใหม่”

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากคำตอบแล้วกลับก่อให้เกิดความคิดบางอย่าง

ในคำถาม “คิดว่าพรรคอนาคตใหม่ควรทำอย่างไร” ร้อยละ 33.41. ตอบว่า “ควรยอมรับคำตัดสินของศาล” ร้อยละ 25.32 ใช้สิทธิวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญโดยสุจริต, ร้อยละ 11.35 แกนนำของอดีตพรรคควรรณรงค์ทางการเมืองทั่วประเทศ, ร้อยละ 11.35 ให้ ส.ส.ที่เหลือของพรรคแสดงบทบาททางการเมืองแทน

จะเห็นได้ว่า เป็นตำตอบที่แทบไม่มีกลิ่นอายของการยุยงให้ต่อต้านการตัดสินอยู่เลย

และในคำถามที่พรรคใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่จะได้รับความนิยมแค่ไหน

แม้คำตอบว่า จะได้รับความนิยมมากกว่าที่เคยได้ จะมากที่สุดแต่ก็แค่ร้อยละ 37.71 ขณะที่ร้อยละ 24.37 ตอบว่าไม่แน่ใจ ขณะที่ร้อยละ 22.78 เห็นว่าเท่าเดิม ขณะที่ร้อยละ 15.08 ตอบว่าน้อยกว่า

เมื่อนำเอาคำตอบไปเปรียบเทียบกับความร้อนแรงของความเคลื่อนไหวแล้ว จะเห็นได้ว่าแทบเป็นคนละอารมณ์

ความเคลื่อนไหวทำให้สัมผัสถึงพลังต่อต้านมากกว่าความรู้สึกในชะตากรรมของพรรคอนาคตใหม่

ทำให้ความคิดที่ว่า “ยุบอนาคตใหม่” เป็นแค่เรื่องหนึ่งที่แรงกดดันที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวนั้นมีเหตุมีผลอยู่

เยาวชนหวาดกังวลต่ออนาคตของตัว ในสังคมที่ผู้มีอำนาจอยากทำอะไรก็ทำ โดยไม่สนใจที่ว่าประชาชนจะรู้สึกอย่างไร และการกระทำต่อพรรคอนาคตใหม่เป็นเครื่องพิสูจน์ที่หนักแน่นว่าพฤติกรรมเช่นนั้นมีอยู่จริง

ในความเป็นจริงอันสะท้อนว่า เยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นห่วงกังวลกับอนาคตตัวเองเช่นนี้

จึงไม่เพียงพรรคอนาคตใหม่เท่านั้นที่เป็นที่พึ่ง หรือเด็กๆ จะฝากความหวังไว้

พรรคการเมืองทุกพรรคมีโอกาสทั้งนั้น หากทำให้เชื่อได้ว่า พร้อมจะยืนอยู่ข้างคนรุ่นใหม่อย่างเข้าอกเข้าใจ และจะทุ่มเทสร้างอนาคตที่สดใสให้