การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เก้าแปดเจ็ดหกห้า

ฉันจะเขียนถึงเธอด้วยบทกวี

น้ำหมึกนี้มาจากเลือดเนื้อที่เหลืออยู่

ไม่แน่ใจหรอกว่าเธอจะอยากรับรู้

แต่เพราะเธอคือผู้ที่ฉันเพิ่งค้นพบ

 

จริงนะ ชีวิตช่างเป็นของยากเหลือเกิน

เหมือนถนนที่ต้องเดินไม่รู้จบ

บางวัน เมื่อตะวันชิงพลบ

ฉันจึงเฝ้าทวนทบซ้ำซ้ำอยู่ในใจ

 

เรามีชีวิตกันเพื่ออะไรหรือ

แย่งยื้อเงินทองจนหมองไหม้

ป่ายปีนย่ำเหยียบเอาเปรียบกันไป

ตกขลักอยู่ในแอ่งเน่าเหม็น

 

เราเกิดมาทำไม

แม้แต่ต้องการตายยังยากเย็น

เจ็บปวดร้อนหนาวร้าวเร้น

แทบเป็นซากขยะหนอนแมลง

 

ฉันอยากจะเขียนเรื่องที่สวยงาม

แต่ก็เกินความสามารถจะเติมแต่ง

วันนี้ที่อกใจไหม้แล้ง

เพียงแค่อยากแสดงให้เธอฟัง ฯ

 

ฉันพับกระดาษใส่ในซอง เจียดเงินไปซื้อสมุดมาหนึ่งเล่ม ปากกาหนึ่งด้าม กับซองจดหมายอีกหลายซอง ยอมตัดใจ เพราะคิดว่ามันคงมีเพียงวิธีนี้ ที่จะได้พูดทุกอย่างจากใจ

แต่หารู้ไม่ว่า กระดาษเท่าไหร่ก็ไม่พอ

 

ฉันไม่รู้หรอกนะเนื้อนวล

ว่าเราควรทำอย่างไรให้ตัวเองยังมีความหวัง

ชีวิตแสนทุเรศทุรัง

หลายครั้งเธอก็ย่อมรู้

 

การลืมตาขึ้นในแต่ละวัน

เพื่อตระหนักว่าเรานั้นยังคงอยู่

ท่ามน้ำเลือดน้ำหนองที่พรั่งพรู

โสตประสาทรับรู้แต่แสบร้อน

 

เราจะผ่านมันไปอย่างไรกัน

ตรงไหนนั่นให้เราพอเข้าซ่อน

เหมือนถูกบั้งถูกบาดราดเกลือซ้อน

และควักซ้ำย้ำย้อนสอนสำนึก

 

ว่าเราเป็นแมลงแฝงพงหญ้า

จงตระหนักในค่า, อย่ารู้สึก

จงจดจำในมีดที่กรีดลึก

จงตกผลึกเรื่องคนเราไม่เท่ากัน ฯ

 

คนอื่นๆ หลับใหลกันไปหมดแล้ว แต่มีเพียงฉันที่ยังตื่นอยู่ เอามือซ้ายกดจิกลงไปในเนื้อกระดาษ มือขวาลากปลายปากกา ค่อยๆ กระถดมือลงมาทีละน้อย

ค่อยๆ ปลดปล่อยตัวหนังสือจากในหัวออกมา

ในความสลัวรางพร่างพร่า ฉันเขียนบทกวีด้วยวิธีเหล่านั้น

 

…จงจดจำในมีดที่กรีดลึก

จงตกผลึกเรื่องคนเราไม่เท่ากัน

 

เราควรจะรู้สึกอย่างไรเล่า

จะมีไหมสักเช้าแม้แสนสั้น

ให้ได้เงยหน้าจ้องมองตะวัน

รับเอารังสีสรรพ์สู่อกไสว

 

หากประกายสีทองเป็นของเราบ้าง

เหยาะหยดแสงแตกต่างส่องทางใหม่

ละลายสีดำมืดจนจืดไป

ล่องสีขาวมาให้สักเล็กน้อย

 

ถ้าเรามีสีทองของอาทิตย์

มาแตะแต้มชีวิตสักนิดหน่อย

มีเส้นทางไปต่อให้รอคอย

สามารถสอยดาวเดือนเหมือนใครใคร

 

หากประกายสีทองเป็นของเรา

พาลุกตื่นสักเช้า…เป็นเช้าใหม่

ละลายสีดำมืดจนจืดไป

คงหัวใจต่ำต้อยเจ็บน้อยลง ฯ

 

ฉันเอาแต่เขียน เขียน เขียน และก็เขียน แต่ถึงกระนั้น ก็เหมือนการเขียนจะไม่มีวันจบสิ้นเพียงพอ บทกวีที่กระท่อนกระแท่นไปด้วยสัมผัสบิดเบี้ยว ถ้อยคำลดเลี้ยวโยกโย้ ขวากหนามผลุบโผล่แทรกปนหยดน้ำตา ต่อให้กลืนลงในอกครั้งแล้วครั้งเล่า รูโพรงข้างในก็ไม่อาจว่างเปล่าสักที

บทกวีคือหนอน ชอนไชออกมาจากในทรวงฉัน

บทกวีคือเศษขี้เถ้าของแสงตะวัน ซึ่งตายดับมาชั่วกัปกัลป์สำหรับคนอย่างเรา

 

เพื่อนที่รักของฉัน

นี่ก็อาจเป็นฝันอันสูงส่ง

สักวัน…ปลายเชือกจะเกลือกลง

พาเราสู่อัสดงนิรันดร์กาล

 

ฉันจะนอนเคียงข้างร่างของเธอ

มือแนบมือเสมอยามพ้นผ่าน

ปลดปล่อยร่างจากรังแด้ดักดาน

ไปสู่ลานโล่งกว้างอย่างหมายปอง

 

ฉันจะกลายเป็นควันหมอกสีขาว

เธอจะกลายเป็นดาวสกาวผ่อง

เราจะพุ่งขึ้นฟ้าถ้าใครมอง

จะเห็นเพียงเงาล่องละลิ่วไป ฯ

 

ฉันพับกระดาษสมุดที่ฉีกออกมา บรรจงใส่ลงในซองจดหมาย ในยามสาย ก่อนจะลุกขึ้นเก็บที่นอน ฉันจะเอาไปสอดไว้ใต้หมอนของนวล

หากนวลพลิกตัวมาพบจดหมาย ถ้าเธอได้อ่านมัน

เธอจะได้รู้ว่าฉัน…

ฉันคือคนเขียนบทกวีเหล่านี้

 

บทกวีเหล่านี้จากอกฉัน

ให้เธออ่านอีกวัน…เมื่อวันใหม่

รู้นะว่าจากนี้…จากนี้ไป

เราจะเดินทางไกลเพื่อเริ่มนับ…

 

เก้าแปดเจ็ดหกห้า…

เราจะรอเวลาพริ้มตาหลับ…