อุรุดา โควินท์ / ทางรอดอยู่ในครัว : มากกว่าน้ำพริกคือน้ำใจ

“ขึ้นเรือนมาก่อนอีหล้า มากิ๋นข้าวกัน” แม่อุ้ยตะโกนเรียกฉัน

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” ฉันรีบปฏิเสธ ฉันมาขอซื้อไม้เก่าจากลูกชายอุ้ย ฉันแน่ใจว่าอุ้ยทำกับข้าวอร่อย แต่ฉันเกรงใจ

“ได้ไม้ครบหรือยัง”

“เรียบร้อยค่ะ รอรถเพื่อนมาขนค่ะ”

แม่อุ้ยกวักมือเรียก “มา มา มา รอบนเรือน”

ไม่พูดเปล่า แม่อุ้ยเดินมารอที่บันได ไม่ขึ้นไปคงไม่ได้แล้ว

ฉันก้าวขึ้นบันไดไม้ที่ถูกขัดจนขึ้นเงา ไม้เนื้อดี ยิ่งใช้ยิ่งสวย ปลวกก็ไม่ค่อยกิน ถ้าฉันมีเงินสร้างบ้านสักหลัง ฉันก็อยากได้บ้านยกพื้นแบบนี้ ระวังปลวกง่าย ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นครัว เป็นที่นั่งเล่น ปลูกต้นไม้เยอะๆ ต้องอยู่สบายแน่

พื้นบ้านเป็นไม้แผ่นที่กว้างมาก กว้างจนฉันหลุดปาก “ไม้สวยมาก”

“ไม้เก่าก็แบบนี้ล่ะน้อง” ลูกชายอุ้ยเดินขึ้นเรือนมา “กินข้าวก่อนค่อยไป เที่ยงพอดี” ในมือเขามีผักหลายชนิด คงเพิ่งเก็บมา

“ผักงามมากเลยค่ะ”

“เอาไปกินบ้างมั้ย พี่เก็บให้ ผักกาดเยอะ กินไม่ทัน แกงเป็นมั้ย เอาไปจอก็ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

แม่อุ้ยหัวเราะชอบใจ “ไม่เป็นไรอีกล่ะ มา แม่จะพาไปดูครัว อยากมีครัวเตาถ่านไม่ใช่เหรอ”

ฉันมาซื้อไม้ที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งที่สาม สองครั้งแรกมากับเพื่อน เพื่อนทำบ้านใหม่ และอยากได้ไม้เก่าไปใช้ตกแต่ง เพื่อนซื้อเยอะมาก ต้องขนสองเที่ยวถึงจะหมด คราวนี้ฉันซื้อไปซ่อมระเบียงบ้าน ใช้ไม้ราว 20 แผ่น ไม่มากเลย แต่ขนกลับเองไม่ได้ เพราะไม้ยาวเกินรถ

อุ้ยยังอุตส่าห์จำได้ ว่าฉันชอบเตาถ่าน อยากมีมุมหนึ่งของครัวเป็นมุมเตาถ่าน ทำที่วางเตาให้เป็นเรื่องเป็นราว ยกขึ้นจากพื้นสักหน่อย

โดยไม่รู้ตัว ฉันเดินตามอุ้ยเข้าครัว

 

ครัวของอุ้ยอยู่หลังบ้าน เป็นครัวเปิด มีเตาถ่านสองเตา แค่เดินเข้ามา ฉันก็ได้กลิ่นหอม

พริกย่าง หอมย่าง กระเทียมย่าง

“แม่จะตำน้ำพริกจิ้นหมู กินด้วยกันโนะ”

ฉันยิ้ม

“อย่าบอกว่าไม่เป็นไรอีกนะ” พี่ชายรีบดักคอฉัน

ฉันอยากปฏิเสธ แต่น้ำย่อยของฉันทำงานทันทีที่ยายเทข้าวเหนียวลงถาดไม้ กลิ่นข้าวเพิ่งสุก เป็นข้าวใหม่แน่ๆ กลิ่นจูงมือฉันเดินไปใกล้ยาย

“ช่วยนะคะ” ฉันรับไม้พายจากยายมาเกลี่ยข้าวให้กระจาย ยายพรมน้ำ แล้วฉันก็เกลี่ย กระทั่งไอน้ำหมด ยายจึงเก็บข้าวใส่ในกระติกที่มีผ้าข้าวบางรอง

“เดี๋ยวตอนกินค่อยแบ่งใส่กระติ๊บเล็ก” พี่ชายว่า “เมื่อก่อนไม่ทำหรอก พอมีคนมากินข้าวด้วยบ่อยๆ แบ่งใส่กระติ๊บเล็กหยิบง่ายดี”

ยายคีบพริกหนุ่มย่าง หอมย่าง กระเทียมย่างออกจากใต้เตา

เตาที่เพิ่งเอาข้าวเหนียวลงยังเหลือไฟ ยายตั้งหม้อใบเล็ก ใส่น้ำนิดหน่อย แล้วใส่หมูสับลงไปหนึ่งก้อน ใส่ไปทั้งก้อน เพื่อตอนเอาขึ้นจะง่าย เราต้องการแต่หมูที่สุก ไม่ต้องการน้ำ

ครั้นอุ้ยหงายครก ฉันก็หยิบพริกมาปอกเปลือกโดยอัตโนมัติ

อุ้ยยิ้ม “ทำเป็นเหรอ”

“พอทำได้ค่ะ แต่น้ำพริกจิ้นหมูไม่ได้กินนานแล้วค่ะ”

“ทำแบบเผ็ดพอดีๆ ใส่น้ำปลาร้าหน่อย กินกับหน่อลำขนาด”

พริก หอม กระเทียม ทั้งสามอย่างย่างสุกแล้ว เราช่วยกันปอกเปลือกส่งลงครก

อุ้ยไสครกมาทางฉัน “ลองมั้ย”

ฉันรีบพยักหน้า ถือสากมาตำกระทั่งของในครกละเอียด

อุ้ยใส่หมูลงครก ฉันก็ใช้สากบดให้เข้ากัน เติมน้ำปลาร้า เติมเกลือ แล้วอุ้ยก็ตักใส่ถ้วยโรยต้นหอมซอย

ไม่ชิม!

“มา กินข้าว” อุ้ยว่า

 

พี่ชายยกถ้วยน้ำพริก จานผัก ไปใกล้กระติกข้าว และแม้ฉันจะบอกว่าไม่เป็นไร เขาก็แบ่งข้าวใส่กระติ๊บเล็กๆ ให้ฉัน

เรากินข้าวด้วยกันตรงนั้น ข้าวเหนียวนุ่มแห่งปี น้ำพริกจิ้นหมูคำแรกแห่งปี น้ำพริกที่แม่ครัวไม่ชิม แต่รสนวลพอดีลิ้น หน่อไม้สดเพิ่งต้ม และแตงกวา

แค่นั้น แต่อร่อยจริงๆ อร่อยแบบไม่ต้องเกรงใจ ฉันปั้นข้าวเหนียวคำแล้วคำเล่า จิ้มน้ำพริก

“นั่น แม่ลืม” จู่ๆ แม่อุ้ยก็พูดขึ้น หันมาทางฉัน “เอาไข่ทอด หรือแคบหมูมั้ย แม่กินแต่น้ำพริกจนชิน ไม่ได้ถามน้อง”

“ไม่ค่ะ ไม่ต้องเลย อร่อยแล้วค่ะ อร่อยมาก”

แม่อุ้ยยิ้มกว้าง “กินเยอะๆ”

เต็มตื้นในใจบอกไม่ถูก คิดถึงยายอยู่ คิดถึงวงข้าวตอนเป็นเด็ก ยายนึ่งข้าวใหม่ เรามีแค่น้ำพริก แย่งกันกิน

นั่งกินบนพื้นแบบนี้ ข้าวหวานที่ปลายลิ้นแบบนี้

ฉันช่วยแม่อุ้ยเก็บสำรับ ล้างจาน ก่อนไปนั่งรอที่ระเบียง

รถเพื่อนจอดหน้าบ้าน เราช่วยกันขนไม้ขึ้นรถ

“มากินข้าวด้วยกันอีกนะ” แม่อุ้ยว่า

ไม่รู้น้ำตามาจากไหน มันคลออยู่ที่หน่วยตา ตอนที่ฉันยกมือไหว้ลาแม่อุ้ย