จัตวา กลิ่นสุนทร : เมื่อไรจะรู้เสียทีว่านรกมีจริง?

ยังพอจำกันได้ดีที่นักการเมืองซึ่งมาจากประชาชน สื่อมวลชน คอลัมนิสต์ รุ่นเก่าๆ ชอบพูดชอบเขียนถึงผู้นำที่เป็น “ทหาร” มาจากการรัฐประหารแล้วเสพติดอำนาจ โดดลงสู่สนามการเมืองว่า แล้วจะได้รู้ว่านรกมีจริง

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่านักการเมืองที่ได้อำนาจมาด้วยปืน ไม่ได้นิยมชมชอบระบอบประชาธิปไตยเหมือนกันหมดในทุกยุคสมัยสืบทอดกันต่อๆ มา ทั้งๆ ที่ประเทศของเราพยายามจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง สถาปนาระบอบประชาธิปไตยให้มีขึ้น และยั่งยืน แต่มันก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475

แปดสิบกว่าปีถ้านับรัฐบาลเท่าที่เคยมีมาเรียงลำดับกันก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นรัฐบาลทหารมากกว่ารัฐบาลพลเรือน และร้อยทั้งร้อยมาจากการ “ยึดอำนาจ” ทั้งสิ้น

รัฐธรรมนูญที่ใช้ในการปกครองประเทศร่างกันมามากมายใกล้ 20 ฉบับ จะถูกยกเลิกกันไปตามที่ภาษาของคนที่นิยมประชาธิปไตยเรียกกันจนติดปากว่า “ฉีกทิ้ง”

เมื่อฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสร็จสรรพก็ทำการร่างขึ้นใหม่ เหมือนกันหมด ยังกับเป็นพิมพ์เขียวจากโรงเรียนที่เขาศึกษาเล่าเรียนกันมา

เพราะจะประกาศว่าปกครองโดยระบอบเผด็จการล้วนๆ ก็ใจไม่ถึงเรียกว่าไม่ค่อยกล้าหาญชาญชัยสักเท่าไรเพราะมันสวนทางกับสังคมโลก ซึ่งอาจต้องขาดความร่วมมือในทุกเรื่องทุกทาง

โดยเฉพาะปัจจุบันนี้คงไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเพียงลำพังได้ เมื่อสังคมโลกเขาไม่ยอมรับ

 

นายทหารจากกองทัพไทย รับประทานเงินเดือนภาษีจากราษฎรไทย ในทุกยุคทุกสมัยพยายามทำการยึดอำนาจ เพื่อคณะของตัวได้เข้ามาบริหารบ้านเมือง โดยทุกครั้งจะอ้างว่าเป็นการทำเพื่อประชาชนทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ก็ได้รู้ได้เห็นกันมาโดยตลอดว่านักปฏิวัติเหล่านี้ ทำเพื่อประชาชน ประเทศชาติ กระทั่งกลุ่มของพวกเขามีอันจะกินร่ำรวยกันเป็นส่วนมาก

ชนิดที่จะมานั่งคำนวณตัวเลขว่าเขารับราชการในกองทัพกี่ปีตั้งแต่เรียนหนังสือจบมา เมื่อเกษียณอายุราชการทำไมเขามีทรัพย์สินเงินทองมากขนาดนั้น?

เคยมีคนเอาตัวเลขแบบซื่อๆ คิดกันแบบปัญญานิ่มๆ ของเหล่าท่านสมาชิกวุฒิสภาอันทรงเกียรติซึ่งเป็นทหาร (ที่รัฐบาลวางแผนแต่งตั้งให้เข้าไปขานชื่อให้ผู้แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี) ในวุฒิสภาชุดนี้ซึ่งมีอยู่ราว 80 คนโดยประมาณที่ได้แจ้งแสดงไว้กับคณะกรรมป้องกันและการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มารวมกันดู

ปรากฏว่าพวกเขามีทรัพย์สินเป็นตัวเลขจำนวนถึงหลายพันล้านบาท

นายทหารซึ่งเกษียณอายุราชการในตำแห่งผู้บัญชาการกองทัพไทย เมื่อถึงแก่กรรมท่านเป็นคนดังมีชื่อเสียง เคยถูกนำชื่อไปเป็นหัวหน้าทีมรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง บังเอิญชีวิตของท่านไม่ราบรื่นเรื่องของครอบครัว มีเรื่องแย่งชิงเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ทรัพย์สินต้องถูกเปิดเผยขึ้นมาในสังคม ทำเอาผู้คนตกอกตกใจกันมากทีเดียวกับจำนวนเป็นพันๆ ล้านบาท

อย่างที่พูดคุยกันเสมอๆ ว่า ท่านๆ ไม่ได้เป็นลูกมหาเศรษฐีมีฐานะมาแต่เดิม เป็นครอบครัวนักธุรกิจระดับมั่งคั่ง แค่รับราชการทหารแต่เพียงอย่างเดียว

จึงมีคำถามว่าแล้วไปเอาเงินที่ไหนมามากขนาดนั้น ทำให้ลูกหลานบริวารทั้งหลายหลากเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทอง

พยายามสืบทอดในอาชีพเดิมของบุพการี เพราะมันมีทั้งเกียรติยศ อำนาจ และสร้างความร่ำรวยเงินทอง ทรัพย์สมบัติมหาศาล

เคยติดตามค้นหากันมาเพื่อเป็นความรู้จะได้บอกกล่าวเล่าขานกันต่อๆ ถึงตระกูลนายทหารดังๆ ตั้งแต่สมัยเข้าร่วมทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 โฉบเข้าไปค้นคว้าศึกษาไม่เคยเห็นตระกูลไหนยากไร้ขาดแคลน ล้วนฐานะมั่นคงมีมรดกตกตกทอดมาจนถึงลูกหลานจำนวนมากด้วยซ้ำไป

ตระกูลทหารซึ่งแทบไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพียงแค่ได้เข้าร่วมกับคณะผู้ก่อการ ปรากฏว่ามีครอบครัวมากกว่าบ้านเดียวเกือบจะทุกท่านทั้งนั้น เรื่องที่ดินอสังหาริมทรัพย์แทบจะทั่วแผ่นดิน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ซึ่งทุกวันนี้ราคาที่ดินสูงยิ่ง

ครอบครัวไหนแตกร้าวบริหารจัดการไม่ดีไม่ลงตัวเกิดการฟ้องร้องแย่งชิงกันขึ้น ย่อมเท่ากับประจานบุพการีว่าท่านว่าไปสะสมที่ดินเหล่านั้นมาโดยสุจริตหรือไม่อย่างไร ทำไมมีฐานะมั่งคั่งกันนัก ทั้งที่แค่รับราชการทหาร

 

หลัง พ.ศ.2475 มาถึงสมัยรัฐบาลท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างที่ได้รับรู้รับทราบกันแล้วว่า ท่านต่างๆ เหล่านั้นมีทรัพย์สมบัติมากมายขนาดไหน ไม่แตกต่างกับสมัยต่อมา คือ ท่านจอมพลถนอม กิตติขจร และแวดวงเครือญาติทีมงานของท่านล้วนมีฐานะมั่งคั่งมั่นคงอยู่กันสุขสบายไร้กังวลไปถึงลูกหลาน

พยายามย้อนเวลาพอสมควรเพียงเพื่อจะมีคำถามว่าเวลาทหารจะทำรัฐประหารนั้นต้องใช้ทุนทรัพย์มากทีเดียว มันจึงเป็นคำถามว่าเงินทุนเหล่านั้นเอามาจากไหน

กลุ่มนักธุรกิจทั้งหมดในประเทศ หรือเพียงกลุ่มมั่งคั่งที่ทุกวันนี้มีการตั้งชื่อกันแล้วว่ากลุ่มออฟไฟร์ ซึ่งเป็นการเปิดเผยจากสื่อต่างประเทศ ที่พยายามจะบอกว่าเป็น 5 ตระกูลธุรกิจระดับแถวหน้าของประเทศไทย

แต่จริงๆ แล้วประชาชนที่สนใจการบ้านการเมืองของประเทศเราย่อมทราบดีอยู่ โดยเขาทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่ากลุ่มทุนเหล่านี้เป็นผู้ที่ต้องลงเม็ดเงินสำหรับการ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร-ยึดอำนาจ” เปลี่ยนแปลงรัฐบาลในทุกครั้งที่ผ่านมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ด้วยซ้ำไป

ต่อจากนั้นก็ยังต้องลงทุนต่อไปถ้ากลุ่มนักปฏิวัติรัฐประหารท่านเสพติดอำนาจ ต้องการอยู่ต่อไปแบบยาวๆ อีกโดยจะต้องเข้ามาตามรูปแบบประชาธิปไตย หมายถึงว่า จะต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาตามที่รัฐธรรมนูญซึ่งได้วางรูปแบบรากฐานเอาไว้แล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อได้เป็นรัฐบาลบริหารประเทศแล้ว มีโครงการใหญ่ๆ ย่อมจะต้องประเคนให้กับกลุ่มทุนที่เขาได้ลงทุนสนับสนุนกันมา

 

พรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นใหม่จำเป็นจะต้องใช้เงินทุนเพราะไม่เพียงแต่จ่ายเงินเดือน ใช้สำหรับส่งสมาชิกลงสมัครแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นยังจะต้องใช้ไปกับการต่อรองซื้อตัวกลุ่มผู้แทนเก่าๆ ให้เข้ามาร่วมไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางชนะเลือกตั้ง ดังที่ได้เห็นได้ทราบกันแล้วว่าขนาดทุ่มเม็ดเงินจำนวนมหาศาลการเลือกในระบบเขตยังแพ้ให้กับพรรคเพื่อไทย

ถ้าหากไม่มีการใช้กฎหมายเลือกตั้ง วิธีการคิดคำนวณแบบแปลกๆ จนกระทั่งได้ ส.ส.เข้ามาอีก 11 คน 11 พรรค ต้องลงทุนไม่น้อยกับการแจกกล้วย ดังเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ในสังคมผู้แทนให้กับพรรคเล็กพรรคน้อย ขณะเดียวกันต้องบริหารจัดการให้กับกลุ่มงูเห่าทั้งหลายเพื่อจะให้รัฐบาลพ้นจากอาการปริ่มน้ำ

เมื่อมีการสอบถามกันเรื่องการบริหารงานที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรคืบหน้า มีแต่พูดจาเรื่อยเปื่อยไร้จุดจบเหมือนไม่มีอะไรอยู่ในสมอง แต่พูดได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องเป็นประชาธิปไตยแล้ว–มาจากการเลือกตั้ง? บ้านเมืองมีกฎหมายต้องทำตามกฎหมาย–กล้าพูดจริง

เนื่องจากความอ่อนด้อยของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องพระราชบัญญัติงบประมาณ ปี 2563 ซึ่งจะยังคงต้องค้างเติ่งมีปัญหาซึ่งไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร ขึ้นอยู่กับศาลรัฐธรรมนูญ กลับเกิดทุกข์ซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นขึ้นอีกเมื่อเกิด “ไวรัสโคโรนา” ระบาดในประเทศจีน ทำให้จีนต้องปิดประเทศ

เศรษฐกิจที่มีปัญหามากซึ่งยังไม่รู้ว่ามาจากต่างประเทศอย่างเดียว หรือเกิดจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารอ่อนด้อยมาถูกกดทับด้วยความแห้งแล้ง กระหน่ำซ้ำด้วยฝุ่นจิ๋วพีเอ็ม 2.5 รวมกับรายได้หลักปีละเป็นแสนล้านบาทจากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นหลัก

ขณะนี้ประเทศเราจึงอยู่ในอาการเครื่องยนต์เศรษฐกิจใกล้จะดับ

 

วันที่ 24-27 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรคงไม่มีใครสนใจ เพราะถึงที่สุดย่อมต้องลากกันถูลู่ถูกังไปจนได้

แต่อย่าลืมว่าทุกวันนี้ประชาชนมีสมอง ผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านก็เต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ และสัตย์ซื่อ ถ้าฝ่ายค้านมีเหตุผลดีๆ เด็ดๆ รัฐบาลย่อมต้องเหนื่อยหนัก และ “เกิดการเปลี่ยนแปลง”

มีความรู้สึกว่า ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลทุกวันนี้ค่อนข้างจะคุณภาพด้อยกว่าจากอดีต เพราะดูเหมือนหลับหูหลับตาสนับสนุน สั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ทั้งนั้นเพื่อผลประโยชน์ ผลประโยชน์ที่รู้ว่าผู้นำมาจากไหน ด้วยวิธีอะไร

แต่ไม่แน่หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ท่าน (ผู้นำ) อาจจะคิดขึ้นมาก็ได้ว่า “นรกน่าจะมีจริง”?