ต่างประเทศอินโดจีน : อาเซียนกับไวรัสอู่ฮั่น

ปรัชญาเมธีบอกเอาไว้ว่า คนเรามักกลัวสิ่งที่เราไม่รู้จักมักคุ้น ไม่รู้ว่าวิธีการรับมือที่เหมาะสมนั้นคืออย่างไร

โดยนัยนี้ ความกลัวที่มีต่อไวรัสอู่ฮั่น ย่อมได้รับการยึดถือว่ามีความเป็นเหตุเป็นผลประการหนึ่ง ปัญหาก็คือ ในหลายคราคนเรามักกลัวมากเกินไป

กลัวจนถึงระดับไร้เหตุผลจนไม่รู้ว่าเรากลัวอะไร อะไรคือสิ่งที่ควรกลัว

ปฏิกิริยาต่อการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายแรงในจีนตั้งแต่ปีใหม่เรื่อยมาจนถึงขณะนี้ของบรรดาผู้คน สังคม และประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั้นน่าสนใจศึกษาเรียนรู้อย่างยิ่ง

แน่นอน มีทั้งสิ่งดีๆ ที่ควรบันทึกไว้เป็นแบบอย่าง และมีอีกหลายประการที่ “ไม่ดีอย่างยิ่ง” จนควรบอกเล่าเป็นอุทาหรณ์ว่า ไม่ควรแสดงออกเยี่ยงนี้ต่อไปในกาลข้างหน้า

เรื่องดีๆ ที่เป็นข่าวคราวไปแล้วมีมากมาย ตั้งแต่การรวมตัวกันเป็นเอกภาพอย่างที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้นของแวดวงนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เร่งรัดศึกษาค้นคว้าหาหนทาง ทั้งเยียวยา ทั้งระงับยับยั้งการแพร่ระบาดครั้งนี้

ถึงขนาดนักวิทยาศาสตร์อเมริกันบอกว่า เป็นไปได้ที่อาจมี “วัคซีน” สำหรับไวรัสอู่ฮั่นออกมาภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือน

หรือการที่ทีมแพทย์ไทยแจ้งสูตรยาผสมสำหรับเยียวยาอาการป่วยที่ “ได้ผล” ให้กับทางการจีนและทั่วโลก เป็นอาทิ

 

แต่โลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมอาเซียนเราก็ยังปรากฏการแสดงออกถึงการเลือกปฏิบัติ การเหยียดกลุ่ม เหยียดเชื้อชาติ หรือแม้กระทั่งเย้ยหยัน ยิ้มเยาะ และเห็นวิกฤตลำบากตรากตรำของผู้อื่นเป็นเรื่องขบขันก็มีเช่นกัน

ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏการณ์ทำนองนี้ชัดเจนและเข้มข้นอย่างยิ่ง

บางครั้งไม่เพียงเล่นตลกกับความเป็นความตายของผู้อื่น ยังยัดเยียดบางสิ่งบางอย่างให้ตามใจชอบอีกต่างหาก

คลิปซุปค้างคาวที่ยึดถือกันไปใหญ่โตว่าเป็นพฤติกรรมของคนจีน เป็นพฤติกรรมที่ปรากฏในอู่ฮั่นและเป็นที่มาของการระบาดนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถ่ายที่อู่ฮั่น แต่เป็นที่ปาเลา ประเทศในโอเชียเนีย แล้วก็เกิดขึ้นมา 3 ปีแล้ว คือตัวอย่างที่ดีที่สุด

นี่ยังไม่นับการ “เหมารวม” เอาว่าชาวจีนทั้งหมดมีพฤติกรรมการกินแบบก่อโรคและสภาวะแวดล้อมด้านสุขอนามัยย่ำแย่ จนก่อให้เกิดการระบาดเช่นนี้

หรือนักเลงคีย์บอร์ดบางรายในมาเลเซียที่ระห่ำหนักข้อ ถึงกับอ้างอิงว่านี่คือการลงทัณฑ์ของพระเจ้าต่อสิ่งที่ทางการจีนกระทำต่อชาวอุยกูร์

มัสยิดบางแห่งในมาเลเซียถึงกับประกาศห้ามนักท่องเที่ยวจีนย่างกรายเข้าไป เดือดร้อนถึงมหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีต้องออกมาประกาศว่า นั่นไม่ใช่คำแนะนำหรือคำสั่งของรัฐบาล

 

เสียงเรียกร้องให้ห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศนั้นมีมากมายทั้งในมาเลเซียและสิงคโปร์ หลังจากที่ฟิลิปปินส์เริ่มต้นการ “เหมารวม” เช่นนี้ด้วยการงดประทับตราวีซ่าให้กับชาวจีนทุกคน

ในสิงคโปร์ เสียงเรียกร้องเช่นนี้ผ่านออนไลน์มีผู้ร่วมลงชื่อมากกว่า 110,000 คนเลยทีเดียว

การดำเนินมาตรการป้องกันที่เหมาะสมนั้นย่อมชอบด้วยเหตุผล อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเหตุผลเช่นกันที่ต้องจำแนกให้ชัดเจนว่า ที่เป็นปัญหานั้นคือเชื้อไวรัสจากจีน ไม่ใช่ผู้คนจากจีน

ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูสักหน่อยไม่ดีละหรือ?

ไม่เช่นนั้นก็ลองทอดตามองไปทั่วอาเซียน มีกี่ประเทศกันที่สามารถบอกได้ว่า “ไม่มีทาง” ที่จะเกิดการระบาดทำนองนี้ขึ้นมา

หากเกิดระบาดขึ้นมา ชาติอาเซียนทั้งหลายย่อมต้องการการสนับสนุน ช่วยเหลือ ไม่ใช่หัวเราะเยาะจากประชาคมนานาชาติแน่นอน