ชาคริต แก้วทันคำ : “ผมกระทำสิ่งชั่วร้ายผ่านแรงปรารถนาดั้งเดิมของมนุษย์”

“คินบากุเป็นเกมแห่งเชือกจากวัฒนธรรมญี่ปุ่น ไม่ได้เป็นเกมเพื่อความเพลิดเพลิน แต่เป็นไปเพื่อความหฤหรรษ์ทางกายทีเดียว เชือกจะถูกพันธนาการไปทั่วร่างอันเปลือยเปล่าของหญิงสาว ขมวดปมตามจุดสำคัญเพื่อปลุกเร้าความกำซาบแก่ผู้ที่ถูกมัด โดยปมเงื่อนจะถูกผูกอย่างง่ายๆ เพื่อให้มันเบียดบดไปตามผิวหนังได้อย่างอิสระ และด้วยเหตุนั้นทำให้เชือกจำเป็นต้องมีความยาว 6-8 เมตร เพื่อพันธนาการได้ทั่วร่าง” (น.141)

ข้อความข้างต้น เป็นข้อมูลความรู้เรื่อง “คินบากุ” (kinbaku) ที่อนุสรณ์ใช้ประกอบในเรื่องสั้นได้อย่างน่าสนใจ โดยเชื่อมโยงเกมดังกล่าวผ่าน “เชือก” เครื่องมือหรือตัวการที่ควบคุมและปลดปล่อยความรัก ความคิด ความรู้สึกในชีวิตของตัวละครผมและเธอ

นอกจากนี้ อนุสรณ์ยังกล่าวอีกว่า เซยู อิโต เป็นบิดาแห่งคินบากุ ส่วนเอกิจิ โอซาดะ ถือเป็นบิดาแห่งการทารุณกรรมและจินตนาการทางเพศผ่านเชือก

บทความนี้จะศึกษาเรื่องสั้น “โยนีรูป” ของอนุสรณ์ ติปยานนท์ นักเขียนรางวัลวรรณกรรมแม่น้ำโขง ปี 2562 พิมพ์อยู่ในรวมเรื่องสั้น “อาคเนย์คะนึง” ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น (สพฐ.) ปี 2560 เป็นรวมเรื่องสั้นที่ให้ “ผม” เป็นผู้เล่าทุกเรื่องราวความรัก ความลับ ความเศร้าจากความคิดคำนึงผ่านบางฉากในดินแดนอาคเนย์

โดยจะวิเคราะห์ตัวละครผมว่า ทำไมต้องเลือกความตายหลังจากกระทำสิ่งชั่วร้ายผ่านแรงปรารถนาทางเพศ และทำไม “เธอผู้นั้นอ้าแขนรออยู่เบื้องล่าง”

เรื่องสั้นนี้เล่าว่า ผมเลี้ยงชีวิตตนเองด้วยเกมของเชือกที่ชื่อว่า “เกมเปลของแมว” หรือ Cat”s Cradle ตั้งแต่อายุ 15 ปี หลังสูญเสียพ่อ ละทิ้งบ้าน มานั่งขอทานอยู่บนสะพานลอย จนชายสูงอายุคนหนึ่งหย่อนเชือกลงในกระป๋องแทนเงินทอง และสอนเขาเล่นกับเชือก

คืนหนึ่งหลังการแสดง ผมรู้ว่าตนเองควบคุมเชือกที่เคยหลงใหลไม่ได้ มันก่อรูปเป็นสามเหลี่ยม สร้างรอยแยกตรงกลาง คล้ายโยนีที่ผมใช้คลายกำหนัดกับผู้หญิงในจินตนาการ คนแรกอายุราว 45-50 ปี คนที่สองถูกข่มขืนขณะนอนพักผ่อนตอนกลางวันในออฟฟิศ และคนที่สามเป็นนักศึกษาที่นั่งหลับในห้องสมุดมหาวิทยาลัย

เหตุการณ์เหลือเชื่อถูกเล่าผ่านความเหนือจริง ผู้เสียหายถูกกระทำในสถานที่ส่วนตัวและสาธารณะขณะหลับ เมื่อตำรวจและเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับผู้กระทำผิดได้

จนเมื่อพบกับเธอ ร่วมรักกัน สุดท้ายเลือกความตายเพื่อหลีกหนีอะไรบางอย่าง

 

“โยนีรูป”
: กับการเลือกความตาย
หลังกระทำสิ่งชั่วร้าย
ผ่านความปรารถนาทางเพศ

หลังจากหญิงสาว 3 รายถูกข่มขืนโดยไม่รู้ตัวและจับคนร้ายได้ ผมรู้สึกว่าตนเองแบกรับความรับผิดนี้ไม่ไหว เพราะก่อนที่ผมจะไม่สามารถควบคุมเชือกให้ก่อรูปสามเหลี่ยมได้ ผมเป็นผู้กำหนดชีวิตตนเองด้วยการดึงเชือกเหนือศีรษะแล้วมองลอดมันไปยังท้องฟ้า บ้านเรือนและผู้คน สะท้อนให้เห็นว่า วงกลมหรือบ่วงเป็นสัญลักษณ์ที่ต่างว่ายเวียนอยู่ในวงของเชือก

แต่รูปสามเหลี่ยมที่มีรอยแยกตรงกลาง หรือรูปโยนีที่คุ้นตา มันเป็นบ่วงหรือห่วงรูปแบบใหม่ที่มือของเขาสร้างขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์อวัยวะเพศหญิง ที่ทำให้ “ผมกระทำสิ่งชั่วร้ายผ่านแรงปรารถนาดั้งเดิมที่สุดของมนุษย์” (น.132)

หมายความว่า เขารู้สึกผิดจากการเล่นและแสดงเชือกจนหมกมุ่นอยู่กับดำกฤษณา ลุ่มหลงและถอนตัวไม่ขึ้นกับภาพที่สร้างด้วยตนเอง อีกยังก่อความเสียหายร้ายแรงแก่ผู้หญิงถึงสามคน

“ผมตัดสินใจปล่อยมือเป็นอิสระ มันเริ่มถักทอทุกอย่างเป็นรูปสามเหลี่ยมพื้นฐานและซับซ้อนขึ้น จนในที่สุดก็ส่งผลเป็นรูปร่างของโยนีแสนงามรูปหนึ่ง ผมจ้องมองรูปโยนีนั้น ก่อนจะถอดมันจากมือและขึงไว้กับฝาผนังที่ยังพอมีที่ว่าง ก่อนจะแนบหน้าเข้ากับมันแล้วฝัน” (น.136-137)

ข้อความข้างต้น นอกจากผมจะควบคุมเชือกไม่ได้แล้ว ยังกำหนดชีวิตตนเองไม่ได้ด้วย การ “จ้องรูปโยนี” จึงเป็นความใคร่ของเพศชายที่หมกมุ่นในเพศตรงข้ามผ่านจินตนาการ

และเมื่อ “แนบหน้าเข้ากับมันแล้วฝัน” สะท้อนตัณหาอารมณ์ที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจมนุษย์ ซึ่งตัวละครเลือกจะอยู่กับความเหนือจริงมากกว่าโลกสมจริง

ก่อนที่ผมจะเลือกความตายเพื่อหลีกหนีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต เขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งในร้านสะดวกซื้อ เขาจ้องมองเรือนร่างเธอตามประสาผู้ชายที่มองผู้หญิงเป็นวัตถุทางเพศและเกิดความปรารถนา เมื่อเธอเลือกซื้อเชือก มันทำให้เขามั่นใจว่าโลกอันโดดเดี่ยวนี้มีคู่สนทนาที่เขาใฝ่หามานาน

“สิ่งที่ผมกลัวไม่ได้อยู่เบื้องล่าง แต่อยู่ภายในห้องที่ผมจากมา ในที่สุดสิ่งที่ผมหวาดหวั่นก็เป็นจริง การได้ร่วมรักกับหญิงสาวจากจินตนาการเป็นความสุขที่ไร้ที่เปรียบ ทว่าผมกลับรู้สึกว่าเป็นอันตรายอย่างที่สุดแสน การเห็นเธอในจินตนาการแสดงว่าผมยังหลบหลีกหนีจากอำนาจเธอได้ แต่การได้ล่วงล้ำตัวเธอนั้น หมายถึงผมได้ยอมรับว่าเธอมีอำนาจเหนือกว่าผมแล้วอย่างสิ้นเชิง” (น.142)

ข้อความข้างต้น เป็นกระแสสำนึกสุดท้ายก่อนผมจะเลือกความตายเพื่อหลีกหนีจากเธอ คนที่มีเลือดเนื้อตัวตนและร่วมรักกันในโลกจริง

แต่เขาต้องการออกจากโลกในห้องส่วนตัวเพื่อกลับไปสู่ความเป็นอิสระ ซึ่งเขาคุ้นเคยกับการลักหลับผู้หญิงในโลกจินตนาการมากกว่า

แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ชายที่ติดอยู่ในมายาคติความเป็นชาย

เมื่อเขาได้ร่วมรักกับเธอแล้ว มันเป็นพันธนาการที่เขาต้องเป็นฝ่ายรอเธอหน้าร้านสะดวกซื้ออย่างไร้ความหวัง และพบความว่างเปล่าหลายค่ำคืน

กรณีนี้จึงเป็นอำนาจที่เหนือกว่าของเธอที่เขาต้องยอมรับ

 

พันธนาการด้วยเชือก
ผ่านการคลี่คลายปมในใจ

เธอพบเขาครั้งแรกในลิฟต์ ความน่าสนใจคือเชือกขดหนึ่งในมือที่ทำให้เธอติดตามเขาไปดูการแสดงด้วยเชือกเส้นเดียวบนดาดฟ้า หลังจากนั้นเธอจึงทดลองความสัมพันธ์กับเชือก

“เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นพบว่าเชือกที่ฉันใช้ห่มคลุมร่างกายได้พันธนาการเข้ากับตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ เชือกได้สอดใส่ โอบรับ รัดรึง ตามร่างกายอันเปลือยเปล่าของฉันราววัตถุชิ้นหนึ่ง มันลอดผ่านท่อนขาอันแข็งแกร่งของฉันไปด้านหลัง ช้อนตามเนินอกก่อนจะไพล่วนรอบลำคอ มันสอดผ่านสองแขนก่อนขมวดเป็นปมที่หน้าท้องอันเปลือยเปล่า นี่เป็นประสบการณ์ที่ฉันไม่เคยพานพบมาก่อน ทุกขณะที่ฉันเคลื่อนไหว เชือกจะแข็งเกลียวโอบรัดมากขึ้น ทุกขณะที่ขยับร่างกาย เชือกจะชำแรกสู่ร่างของฉันมากขึ้น ฉันได้พบความหฤหรรษ์อันแปลกประหลาด ฉันได้พบความกำซาบซ่านที่ไม่อาจบรรยาย แรงปรารถนาในตัวพวยพุ่งขึ้น” (น.139)

ข้อความข้างต้น เป็นผลจากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเชือก ที่ “เชือก” อาจหมายถึงอวัยวะเพศชาย ที่สอดใส่หรือชำแรกร่างกายเธอได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการบรรยายถึงความปรารถนาทางเพศของผู้หญิง สะท้อนรสนิยม ความรุนแรงที่ซึมซาบอยู่ในตัวมนุษย์และรอปลดปล่อย อีกทั้งเชือกและปมมัดยังเป็นเครื่องมือหรือวัตถุที่ใช้ตอบสนองอารมณ์ทางเพศให้ถึงที่สุดได้เช่นกัน

จะเห็นได้ว่า “เชือก” ในเรื่องสั้นนี้เป็นตัวการและเครื่องมือที่ใช้ตอบสนองความต้องการทางเพศได้ทั้งชายและหญิง ขึ้นอยู่กับว่าเชือกจะพันธนาการร่างกาย ความคิดและชีวิตจนไปสู่การคลี่คลายปมในใจของตัวละครได้หรือไม่

หลังจากเธอพบเขาอีกครั้งหน้าร้านสะดวกซื้อ เขาถูกเชือกพันธนาการมือไว้ เธอจึงจับมือเขา แก้ปมเชือกในมือและพากลับเข้าห้อง เปลื้องผ้าและให้เขาใช้ขดเชือกพันธนาการเธอ

“เขาขดเชือกขึ้นมาในมือก่อนเริ่มต้นพันธนาการฉันทีละจุด มือของเขาลูบไล้ไปทั่วร่างของฉันสลับกับเชือกที่แสวงหาตำแหน่งของมันอย่างเหมาะสม ทำให้ร่างกายของฉันเขม็งเกลียว ความชุ่มฉ่ำถูกผลิตไปทุกจุดบนร่างกาย นับแต่ขุมขนจนถึงร่องถ้ำ” (น.142)

ข้อความข้างต้น เป็นการใช้เชือกเล่นเกม “คินบากุ” โดยมีเขาเป็นผู้กระทำและเธอเป็นผู้ถูกกระทำ ที่สร้างความรู้สึกเป็นสุขและดื่มด่ำทางใจมากกว่า ต่างจากเกมเปลของแมวที่เขาเห็นเป็นสิ่งสร้างแค่ความสุขทางกายเท่านั้น สุดท้ายเขาจึงมุ่งเข้าหาเกมแห่งคินบากุ

อย่างไรก็ตาม การเล่นกับเชือกแสดงให้เห็นความซับซ้อนในการดื่มด่ำความสุขของแต่ละตัวละครแตกต่างกันไป เธอสามารถเล่นกับเชือกได้ด้วยตนเอง โดยไม่มีเขา หรือจะมีเขาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมแห่งเกมคินบากุด้วยก็ได้ ปมในใจเธอคือเชือกที่คลายออกได้หลังการเล่น แต่ปมในใจเขาที่พยายามหาทางออกคือความกลัว กลัวว่าจะสูญเสียความเป็นชายให้กับเชือกที่เธอเลือกซื้อหามาเองได้ และกลัวว่าเธอจะทอดทิ้งเขาไป

ทำไม “เธอผู้นั้นอ้าแขนรออยู่เบื้องล่าง” (น.143) เป็นประโยคจบเรื่อง หลังจากเขาตัดสินใจเลือกความตาย หากมองในมุมชายเป็นใหญ่ ชายและหญิงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างให้มาคู่กัน และชายจะมีบทบาทเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า แข็งแรงและเป็นผู้นำหรือผู้ควบคุมดูแล แต่เรื่องสั้นนี้ เขาตระหนักรู้ว่าเธอมีอำนาจเหนือกว่า เป็นผู้ “จับมือเขา แกะปมเชือกในมือและพาเขากลับห้อง”

แสดงว่าเธอเป็นผู้กำหนดบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา ทำให้เขาสูญเสียความเป็นชายและกลายเป็นเหยื่อของมายาคติเชิงโครงสร้าง ความตายจึงน่าจะเป็นทางออกที่เขาเลือกหลีกหนีความสิ้นหวัง หวาดหวั่น แต่มันไม่ใช่สิ่งน่ากลัว

ดังนั้น การแลเห็นเธออ้าแขนรออยู่เบื้องล่าง เป็นคำตอบได้ว่า แม้เขาจะตาย แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากอ้อมแขนเธอไปได้ และการแลเห็นนี้จึงเปรียบเสมือนภาพหลอนนั่นเอง

—————————————————————————-
บรรณนานุกรม
อนุสรณ์ ติปยานนท์. (2559). อาคเนย์คะนึง. กรุงเทพฯ : มติชน.