รายงานพิเศษ / ตรวจแถว ‘ขุนพลคอแดง’ ‘บิ๊กแดง’ ยังแกร่ง! ‘บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’ ว่าที่ผู้นำทัพ ยุครอยต่อ ‘บิ๊กตู่’ กับปฏิบัติการ Show of Forces กองทัพสวนสนามใหญ่

รายงานพิเศษ

 

ตรวจแถว ‘ขุนพลคอแดง’

‘บิ๊กแดง’ ยังแกร่ง!

‘บิ๊กแก้ว-บิ๊กบี้’ ว่าที่ผู้นำทัพ

ยุครอยต่อ ‘บิ๊กตู่’

กับปฏิบัติการ Show of Forces

กองทัพสวนสนามใหญ่

ไม่ว่าการเมืองในปี 2020 การเมืองหลังปีใหม่ จะเข้มข้นแค่ไหน ทั้งกิจกรรมวิ่งไล่ลุง ทั้งการนัดม็อบลงถนน และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

แต่กองทัพมีภารกิจสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น ให้สวยสง่างาม พร้อมเพรียง และยิ่งใหญ่ที่สุด

ในการจัดพิธีสวนสนามเฉลิมพระเกียรติ องค์จอมทัพไทย เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และการถวายสัตย์ปฏิญาณตน เนื่องในวันกองทัพไทย 18 มกราคม 2563

เพราะจะเป็นการสวนสนามครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรกในรัชกาลที่ 10 ที่ทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ จะมาสวนสนามด้วยกัน

ที่สำคัญคือ เป็นการสวนสนาม 3 มิติ

คือ ทั้งการสวนสนามเดินเท้า 28 กองพัน รวมทั้งม้าเนื้อ จาก ม.พัน 29 รอ. และการวิ่งสวนสนาม 4 กองพัน ในจำนวนนี้มีทหารพรานหญิงชายแดนใต้ร่วมด้วย

รวมทั้งการสวนสนามยานยนต์อีก 2 กรม กรมละ 3 กองพัน รวม 6 กองพัน ที่ล้วนเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์อินเตอร์จากหลากหลายประเทศ

ทั้งรถเกราะ Stryker จากสหรัฐ รถเกราะยูเครน BTR 3E1 รถถัง VT4 จากจีน รถถัง T84 Oplot ยูเครน และรถฮัมวี่ รถบรรทุกทางทหาร ปืนใหญ่ซีซาร์ จรวดหลายลำกล้อง และรถสะเทินน้ำสะเทินบก นาวิกโยธิน รวมยานยนต์ทั้งหมด 154 คัน ร่วมสวนสนาม

นอกจากนี้ กองทัพอากาศจัดเครื่องบินรบ F-16, F 5 และ Gripen รวม 2 หมู่บิน เป็นหมู่บินที่ 9 จำนวน 9 เครื่อง และหมู่บินที่ 10 จำนวน 10 เครื่อง ร่วมสวนสนามทางอากาศด้วย

รวมใช้กำลังทหารทุกเหล่าทัพ ตำรวจ ในการสวนสนามยิ่งใหญ่ครั้งนี้ รวม 40 กองพัน กว่า 4 พันนาย

พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์

โดยมีกองบัญชาการกองทัพไทยเป็นแม่งาน ที่บิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด มอบหมายให้บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร และ รอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ดูแลควบคุม

โดยมีการซ้อมร่วมกันครั้งแรก 22-25 ธันวาคม 2562 และกลับมาซ้อมย่อย และซ้อมใหญ่ 6, 10, 14 มกราคม 2563 ที่ค่ายอดิศร ศูนย์การทหารม้า จ.สระบุรี ที่จะเป็นสถานที่จัดพิธีจริง ในวันที่ 18 มกราคม 2563

โดยมีบิ๊กเนี้ยว พล.ต.ทรงพล สาดเสาเงิน ผบ.พล.1 รอ. และเสนาธิการ ฉก.ทม.รอ.904 คุมกองพันสวนสนามเดินเท้า

และบิ๊กรุณ พล.ต.กันตพจน์ เศรษฐารัศมี ผบ.พล.ม.2 รอ. คุมกองพันสวนสนามยานยนต์

พล.ต.ทรงพล สาดเสาเงิน

โดยมีแม่ทัพหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้บังคับกองผสม

มี ผบ.อ๊อบ พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นผู้ช่วยในการดูแลการฝึกซ้อมสวนสนาม

เรียกได้ว่า บรรดานายทหารคอแดง รับหน้าที่สำคัญในพิธีสวนสนามครั้งนี้

อันถือได้ว่าเป็นเกียรติประวัติครั้งสำคัญของนายทหารเหล่านี้ รวมทั้งกำลังพลที่จะได้ร่วมพิธีสวนสนาม และเปล่งคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน เฉพาะพระพักตร์ ของ พระมหากษัตริย์ องค์จอมทัพไทย และองค์พระบรมราชินี ที่ก็ทรงเป็นนายทหาร

กองทัพจึงให้ความสำคัญกับการเตรียมการพิธีนี้เป็นความเร่งด่วนสูงสุด เพื่อให้มีความสง่างาม พร้อมเพรียง และยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ เพื่อสะท้อนศักยภาพ ความแข็งแกร่งของทหารของพระราชาที่จะทำหน้าที่ปกป้อง ดูแลสถาบันไว้ด้วยชีวิต

พล.ต.กันตพจน์ เศรษฐารัศมี

 

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของกลุ่มซ้ายจัดดัดจริต และขบวนการหมิ่นสถาบัน ที่กองทัพนำโดยบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. และผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ผบ.ฉก.ทม.รอ.904) ซึ่งเป็นสถานภาพพิเศษของ พล.อ.อภิรัชต์ ทำให้เขากลายเป็นนายทหารที่ออกมายืนแถวหน้า ชนกับพวกที่บิ๊กแดงเรียกว่า ซ้ายตกขอบ ซ้ายจัดดัดจริต และพวกคอมมิวนิสต์ฝังชิพ เรื่อยมา

แม้แต่ในสารอวยพรปีใหม่ของ พล.อ.อภิรัชต์ ถึงกำลังพลทหารบกทั่วประเทศนั้น ก็ยังยกให้ปีพุทธศักราช 2562 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญของชาติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งกองทัพบกและประชาชนทุกภาคส่วนได้รวมใจเป็นหนึ่งเดียวปฏิบัติหน้าที่ตลอดห้วงพระราชพิธีอย่างสุดความสามารถ เพื่อเฉลิมพระเกียรติด้วยความจงรักภักดีและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น อันเป็นความปลื้มปีติสุขของปวงชนชาวไทยทั้งชาติ

พล.ต.ทรงวิทย์ หนุนภักดี

และยืนยันจะทำหน้าที่ตามแนวทางของทหารอาชีพ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน

“ผมถือว่าเป็นปีที่คนไทยทุกคนมีความสุข เพราะเป็นปีแห่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก” บิ๊กแดงระบุ

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของกองทัพ และฝ่ายรัฐบาล ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

นอกจากนั้น ยังมีการสร้างศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ขึ้นที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณของพระองค์ และเป็นศูนย์ในการเรียนรู้ของจิตอาสาฯ อีกด้วย

 

(ซ้าย) พล.ท.ธรรมนูญ วิถี (ขวา) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้

การเมืองในปีใหม่นี้ กองทัพยังคงเป็นเป้าหมายทางการเมืองต่อไป ทั้งการถูกโจมตี ตรวจสอบเรื่องงบประมาณกลาโหม การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เงินนอกงบประมาณ และการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร

โดยมีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และแกนนำพรรคเป็นหัวหอก

ไม่ใช่เพราะแค่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม เท่านั้น

แต่เพราะกองทัพยังถูกมองว่าเป็นฐานอำนาจที่สร้างความมั่นคงแข็งแกร่งให้เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ และค้ำรัฐบาลด้วยนั่นเอง

การจะล้มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะตอกลิ่มในแกนนำรัฐบาล 3 ป. แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ เพราะมิตรภาพพี่น้องที่แนบแน่นยาวนานของ “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์”

ส่วนการตอกลิ่มความขัดแย้งระหว่างกองทัพกับรัฐบาล กับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่มีช่องโหว่ใด เพราะความแนบแน่นใกล้ชิดของ ผบ.เหล่าทัพ ที่ส่วนใหญ่ก็เคยเป็น คสช.กันมาแล้ว โดยเฉพาะ พล.อ.อภิรัชต์ น้องรักบิ๊กตู่

แม้จะเคยมีความพยายามปล่อยข่าวการปฏิวัติรัฐประหารออกมา เพื่อหวังตอกลิ่ม พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อภิรัชต์ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะไม่มีเงื่อนไขใดๆ

รวมทั้งความพยายามของฝ่ายค้านที่มีมาอย่างต่อเนื่องในการปลุกกระแสข่าว พล.อ.อภิรัชต์จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อจาก พล.อ.ประยุทธ์

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ยืนยันมาตลอดว่า ไม่เคยคิดจะเล่นการเมือง หลังเกษียณกันยายน 2563 อีกทั้งต้องเว้นวรรคทางการเมือง 2 ปี หลังพ้นจากการเป็น ส.ว.

 

ตรงกันข้าม พล.อ.อภิรัชต์เคลียร์พื้นที่ เคลียร์ทางในกองทัพ เพื่อดันนายทหารที่ไว้วางใจ ให้ขึ้นมาเป็น ผบ.เหล่าทัพ

ทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทหารสูงสุด โดยเฉพาะในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ สู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป

รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ถวายสัตย์ และเข้ารับหน้าที่เมื่อ 16 กรกฎาคม 2562 หากอยู่ครบเทอม 4 ปี ก็ราวกรกฎาคม 2566 และต้องเลือกตั้งใหม่

ตอนนั้น พล.อ.อภิรัชต์ไม่อยู่แล้ว เพราะเกษียณไปตั้งแต่กันยายน 2563 แล้ว แต่เชื่อกันว่า พล.อ.อภิรัชต์ไม่เล่นการเมือง แค่จะอยู่ในสถานะที่ช่วยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไปได้

โดยที่กองทัพจะไม่ใช่ปัญหาของรัฐบาล ไม่ต้องพะวงหลังเรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร

เพราะเมื่อ พล.อ.อภิรัชต์เกษียณในกันยายน 2563 บิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. นายทหารคอแดง ก็จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.แทน

พล.อ.ณรงค์พันธ์ เป็น รอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 และเป็นเตรียมทหาร 22 มีอายุราชการถึงตุลาคม 2566

เช่นเดียวกับบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล เสธ.ทหาร นายทหารคอแดง รอง ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.ทหารสูงสุดคนใหม่ตุลาคม 2563 นี้ โดยมีอายุราชการถึงตุลาคม 2566 เช่นเดียวกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์

จึงทำให้ทั้ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.อ.เฉลิมพล จะกลายเป็นผู้นำเหล่าทัพที่จะค้ำหนุน พล.อ.ประยุทธ์ให้ผ่านศึกเลือกตั้ง และกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

โดยมี พล.อ.อภิรัชต์คอยช่วยเหลืออยู่เงียบๆ เพราะยังมี ส.ว. 250 คนตามรัฐธรรมนูญ ที่จะยังโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ อีกสมัยได้

แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองเข้มข้นขึ้น จะทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่า อาจมีการสลับให้ พล.อ.เฉลิมพล นายทหารม้าที่มีความเด็ดขาด มาเป็น ผบ.ทบ.

อีกทั้งเป็นเพื่อนรุ่นน้อง ตท.21 ที่ พล.อ.อภิรัชต์สนิทสนมและเชื่อมือมาก แต่ด้วยหลายเหตุผล จึงต้องสนับสนุน พล.อ.ณรงค์พันธ์เป็น ผบ.ทบ.

แต่ข่าวการเปลี่ยนตัวว่าที่ ผบ.ทบ. จึงเป็นแค่ข่าวลือ เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ได้รับสัญญาณให้วางตัว พล.อ.ณรงค์พันธ์ไว้เป็น ผบ.ทบ.ตั้งแต่แรกแล้ว

พล.อ.อภิรัชต์จึงได้ส่ง พล.อ.เฉลิมพลจากกองทัพบกไปเป็นเสนาธิการทหาร ที่ บก.ทัพไทย เพื่อเตรียมจ่อเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนต่อไป

โดยได้มีการเคลียร์ทางในกองบัญชาการกองทัพไทยให้แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.พรพิพัฒน์ก็ได้วางตัวนายทหารคนใน ให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดต่อไว้หลายคน เพราะ พล.อ.เฉลิมพลมีอายุราชการถึง 2566 ที่ทำให้บิ๊กทหารหลายคนใน บก.ทัพไทยต้องหมดหวัง จึงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

ดังนั้น พล.อ.เฉลิมพล และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จะกลายเป็นผู้นำเหล่าทัพในช่วงรอยต่อการครบเทอมรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ สู่การเลือกตั้ง และการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ที่คาดว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้น

แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็วางใจได้ว่ากองทัพจะยังคงเคียงข้างรัฐบาลเสมอ ไม่ว่าจะเผชิญวิกฤตการเมืองหนักแค่ไหนก็ตาม

เพราะในฐานะที่เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ พล.อ.ประยุทธ์คงไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่เป็นนายกฯ แล้วถูกนายทหารรุ่นน้องในกองทัพปฏิวัติล้มอำนาจเสียเอง

เพราะไม่ว่าอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์จะทำหน้าที่ผู้ช่วยพระเอก คอยดูแลช่วยเหลือ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป ไม่ว่าจะอยู่ในกองทัพ หรือเกษียณไปก็ตาม

เพราะ พล.อ.อภิรัชต์นั้นมีตำแหน่งสำคัญที่ไม่ใช่ทางการเมืองรองรับหลังเกษียณแน่นอน

แม้จะมีการมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ควบ รมว.กลาโหมในรัฐบาลนี้เอง แต่ในรัฐบาลหน้า สมัยที่ 2 จะดึง พล.อ.อภิรัชต์มาเป็น รมว.กลาโหมก็ตาม

แต่สำหรับ พล.อ.อภิรัชต์ ที่ใครๆ ก็มองว่า อาจจะมาเป็นนายกฯ ในสักวันหนึ่ง เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ถอดใจ หรือพอแล้วนั้น ไม่เคยคิดอยากจะเป็น รมว.กลาโหม หรือแม้แต่นายกฯ เลย

 

เพราะโดยสถานภาพและบทบาทที่ผ่านมาจนปัจจุบันและอนาคต พล.อ.อภิรัชต์ก็เป็นเสมือน รมว.กลาโหมเงาด้วยซ้ำ เพราะมีอะไรก็คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ได้โดยตรง

และมีบทบาทในการสนับสนุนนายทหารที่จะขึ้นมาเป็น ผบ.เหล่าทัพด้วย เช่น พล.อ.อ.มานัต วงษ์วาทย์ ผบ.ทอ. ที่เป็นเพื่อน ตท.20 ของ พล.อ.อภิรัชต์

รวมไปถึง ผบ.ทอ.คนใหม่ ที่คาดว่าจะเป็นบิ๊กจ้อ พล.อ.อ.ธรินทร์ ปุณศรี ผช.ผบ.ทอ. ที่เป็นเตรียมทหาร 20 เช่นกัน

และมีการมองไปถึงตำแหน่ง ผบ.ทร.คนต่อไป ที่จะมาแทนบิ๊กลือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ที่จะเกษียณกันยายน 2563 นี้นั้น มีแคนดิเดตที่เป็นทั้ง ตท.19 อย่างบิ๊กช่อ พล.ร.อ.ช่อฉัตร กระเทศ รอง ผบ.ทร. ที่ก็ว่ามาแรง และเตรียมทหาร 20 อีกหลายคน ที่ล้วนเป็นคนเก่งของรุ่น

ทั้งบิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผช.ผบ.ทร. บิ๊กแก๋ง พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสธ.ทร. รวมทั้งบิ๊กแมว พล.ร.อ.สมชาย ณ บางช้าง ประธานที่ปรึกษา ทร.

ที่หากได้รับการสนับสนุนจากทั้ง พล.ร.อ.ลือชัย และ พล.อ.อภิรัชต์ ก็เรียกได้ว่า จะฉลุยขึ้นเป็น ผบ.ทร.คนใหม่

            เพื่อความเป็นเอกภาพ แนบแน่นหนึ่งเดียวของ ผบ.เหล่าทัพ ท่ามกลางการเมืองร้อน และกองทัพก็ถูกดึงไปอยู่ในเกมการเมืองด้วยเช่นนี้