ธุรกิจพอดีคำ | “เมื่อหัวหน้าไม่อยู่ คุณจะ…”

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสมาเป็น “นักเรียน” อีกครั้งครับ

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เรียนมหาวิทยาลัย ได้ปริญญาแต่อย่างใด

ตอนนี้ผมอยู่ที่ “มหาวิทยาลัยเถาเป่า”

ก่อตั้งโดยบริษัท “อาลีบาบา” ของแจ๊ก หม่า ผู้โด่งดัง

ณ เมืองหังโจว ประเทศจีนครับ

มาเรียนเรื่องของการค้าออนไลน์ ตลาดประเทศจีน

และการบริหารองค์กรเทคโนโลยีขนาดใหญ่

หวังว่าจะนำกลับไปใช้ขับเคลื่อนองค์กรในเมืองไทยได้บ้างครับ

สองวันแรกก็หนักหน่วง เรียนทั้งวัน

นึกว่าจะมีเวลาพักให้หายใจหายคอ เดินเล่นในเมืองบ้าง

ก็เพิ่งมารู้ว่ามหาวิทยาลัยนี้อยู่นอกเมืองไปหลายสิบกิโล

เรียกได้ว่า มีแค่เรียน แล้วก็กลับโรงแรมครับ

เนื้อหาเรียกได้ว่า “เข้มข้น”

หากแต่ว่าที่ผมชอบที่สุด กลับไม่ใช่เป็นเรื่องการค้าขาย เทคโนโลยี

แต่กลับเป็นเรื่องของ “วัฒนธรรม” องค์กร

ซึ่งเขาเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้เอง

วันนี้เลยอยากนำมาแบ่งปันกันครับ

ถ้าพูดถึงวัฒนธรรมองค์กรแล้ว

มีหนังสือหลายเล่มเขียนความหมายของมันไว้แตกต่างกันออกไป

แต่มี “ความหมาย” หนึ่ง ที่ผมชื่นชอบ

และยังจดจำมาได้จนทุกวันนี้

นั่นคือวัฒนธรรมองค์กร จะเป็นเหมือนพฤติกรรมของพนักงานในที่ทำงาน

เมื่อ “หัวหน้า” ไม่อยู่ครับ

ที่ผมชอบ เพราะผมคิดว่ามันจริงมาก

องค์กรหลายแห่งมีหัวหน้าที่ดีมาก

คอยกำกับ คอยดูแลลูกน้องไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

เดินตามแถวอย่างสวยงาม

นำองค์กรไปสู่ชัยชนะ

หากแต่ว่า วันใดที่หัวหน้าไม่อยู่

ทุกคนก็อาจจะรู้สึกอยากจะแตกแถว

อาจจะนินทาหัวหน้า ทะเลาะกันเอง

ตัดสินใจกันไม่ได้ ต้องกลับไปถามหาหัวหน้าทุกครั้ง

พฤติกรรมเหล่านี้แหละครับ

คือ “วัฒนธรรม” องค์กรของคุณที่แท้จริง

สําหรับอาลีบาบา เขาสร้างวัฒนธรรมเอาไว้ 6 ข้อที่อยากให้ทุกคนประพฤติตามครับ

หนึ่ง ลูกค้ามาก่อน

พนักงานตามมาที่สอง

ผู้ถือหุ้นอยู่ท้ายสุด

เป็นวัฒนธรรมที่รู้ว่า ผลลัพธ์จะเกิดไม่ได้

ถ้าไม่มีเหตุที่ดี

กำไรเป็นผลลัพธ์ที่ใครๆ ก็อยากได้

มันจึงต้องเริ่มจาก “การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” อย่างแท้จริง

และตามมาด้วยการดูแลพนักงานให้มีจิตใจ ร่างกายเข้มแข็ง

เพื่อให้พวกเขาได้ออกไปดูแลลูกค้า

เชื่อว่าทำได้แบบนี้แล้ว กำไรก็จะเกิดต่อผู้ถือหุ้นนั่นเอง

เมืองไทยเราจะเถียงก็เถียงกันได้ทั้งวัน

จะเอาอะไรขึ้นก่อน ไม่มีถูกหรือผิด

แค่คุณจะเอาผลลัพธ์มาก่อน โดยไม่สนเหตุ

หรือคุณเชื่อมั่นในเหตุ แล้วปล่อยวางในผลที่จะตามมา

อันนี้แหละวัฒนธรรมองค์กรข้อแรกๆ ที่ต้องคุยให้ชัดเจน

ข้อสอง “ความเชื่อใจทำให้ทุกอย่างง่าย”

องค์กรที่เชื่อใจกัน

หัวหน้าเชื่อใจลูกน้อง

ลูกน้องเชื่อใจหัวหน้า

เชื่อว่าทุกคนตั้งใจทำงาน ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่

ให้เกียรติกัน ไม่ระแวงซึ่งกันและกัน

ก็จะไม่ต้องเสียเวลามาตรวจสอบกัน

เวลาทำงานก็จะเยอะขึ้น ประชุมถกเถียง ทบทวนแผนงานก็จะน้อยลง

เมื่อเชื่อใจให้ลูกน้องได้ตัดสินใจแล้ว

องค์กรก็จะ “เร็วขึ้น” โดยอัตโนมัติ

หัวหน้าก็ไม่ต้องกังวลว่า ถ้าฉันไม่นั่งประชุมหัวโต๊ะ ออกความเห็นแล้ว

ตัวเองจะ “ไร้ประโยชน์”

พีระมิดกลับหัว การบริหารงานที่เชื่อว่าหลายๆ ท่านท่องได้

ก็ควรจะนำมาใช้จัดการสภาวะการทำงานให้ลูกน้องท่านทำงานได้อย่างมีความสุข

ทำระบบธุรการให้ง่าย ซื้อขนมมาเลี้ยง คอยให้กำลังใจ ตักเตือน ถามสารทุกข์สุกดิบ

แค่นี้ลูกน้องก็มีกำลังใจทำงานให้แบบถวายหัวแล้ว

มิใช่ต้องเป็นคนฉลาดสุด นั่งหัวโต๊ะแบบเก่าๆ

คนรุ่นใหม่คงจะไม่ถูกใจเอาแน่ๆ

ข้อสาม การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติ

โลกเปลี่ยนเร็ว ลูกค้าเปลี่ยนเร็ว

วันนี้ชอบใจ พรุ่งนี้ก็อาจจะเฉยๆ

การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสินค้า บริการ จึงเป็นเรื่องปกติ

ความเร็วจึงสำคัญ ถูก-ผิด ค่อยว่ากัน

ข้อสี่ ถ้าไม่ทำตอนนี้ จะทำตอนไหน

ถ้าคุณไม่ทำ แล้วใครจะทำ

วัฒนธรรมองค์กรที่บอกถึงความเป็นเจ้าของ

ไม่รีรอ กระบวนท่าวุ่นวายขององค์กร

เห็นปัญหา ก็ลงมือแก้

เห็นพื้นสกปรก มีน้ำเจิ่งนอง แทนที่จะบอกคนอื่นให้ระวังจะเหยียบ

ก็ไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดซะให้หมดเรื่อง

ทำเลยตอนนี้ คุณนั่นแหละ จะใครอื่น

คนละไม้ คนละมือ

องค์กรก็จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรม

ข้อห้า ทำงานอย่างมีความสุข แต่ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง

ชีวิตเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าการทำงาน

ทำงานในสิ่งที่รัก เป็นเรื่องที่ดี ต้องมีความสุข

แต่อย่าลืมว่า ชีวิตมีส่วนอื่นๆ ที่คุณต้องดูแล

แบ่งเวลาให้ครอบครัว แบ่งเวลาไปใช้ชีวิต

งานที่รักนั้นสำคัญ

แต่ชีวิตที่มีคุณค่านี่สิ สำคัญกว่า

ห้าข้อนี้ จากองค์กรระดับโลกอย่างอาลีบาบา

องค์กรไทยทำได้สักข้อ ก็จะก้าวไกลไม่น้อยหน้าทีเดียว

ลองปรับใช้กันดู