เรื่องสั้น | บันทึกซาตาน ในใบลานของฉัน (1)

บันทึกฉบับนี้บันทึกจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับฉัน ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งได้เติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงที่ด้านชากับสิ่งรอบตัว แม้จะแวดล้อมไปด้วยฤดูใบไม้ผลิอันสวยงามอบอุ่นตระการตา แต่ก็ดูเหมือนโลกทั้งใบเป็นสีเทาหม่นหมอง เยือกเย็นและเหน็บหนาวกับเส้นทางที่ต้องก้าวเดินไปเพียงลำพังแต่ผู้เดียว

ปี พ.ศ.2543 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉัน มนุษย์ไร้เดียงสาผู้อิ่มเอิบกับความสมบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วยสมาชิกในครอบครัวและอนาคตที่สดใส ทั้งอาชีพการงานที่ก้าวหน้า แต่ทุกอย่างกลับดับวูบลง เพียงเพราะหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวในตอนท้ายว่า

“…โปรดส่งคำวิจารณ์ของคุณมาที่อีเมลของเราคือ [email protected] และขอบคุณสำหรับคำติชมทั้งหมดของท่าน…” ซึ่งฉันได้ส่งบทวิจารณ์ของฉันไปสี่หน้ากระดาษเอสี่ และนั่นเอง คือที่มาของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลของฉัน

ในปีนั้นเอง ยามเมื่อดาวเสาร์ได้โคจรเข้ามาใกล้โลกที่สุดในวันเสาร์พอดิบพอดี ก็มีพี่ที่ทำงานด้วยกันชักชวนให้ฉันเข้าป่าไปนั่งกรรมฐานด้วยกันโดยที่ฉันไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่ามันได้ช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ ด้วยการเหนี่ยวรั้งความเป็นนิรันดร์กาลให้ฉันภายใต้กายมนุษย์นี้ พี่สุภาภรณ์ พี่สาวสุดที่รักของฉัน ผู้ซึ่งทำงานอยู่โต๊ะข้างๆ เป็นผู้ชักชวนฉันไปนั่งกรรมฐานในป่าที่จังหวัดอุบลราชธานี ใกล้หน้าผาลึกแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งชาวบ้านเข้าไปด้วยการเดินเท้าและรถยนต์ส่วนตัวที่ต้องว่าจ้างขึ้นไปเนื่องจากเส้นทางเป็นลูกรัง พี่สุภาภรณ์เล่าให้ฟังว่า

“ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยเถอะค่ะ ที่นั่นสงบมากค่ะ มีแต่ป่าค่ะ พวกเราไปค้างกัน 1 คืนนะคะ แล้วค่อยบินกลับนะคะ พี่อยากไปมากค่ะ ป่านี้สวยมากเลยนะคะ เป็นเขตอุทยานแห่งชาติเลยนะคะ” พี่สุภาภรณ์กล่าวขอร้องเพราะเธอไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเธอ

เมื่อฉันตกปากรับคำพี่สุภาภรณ์ และไปถึงเขตป่าอุทยานแห่งชาติดังกล่าวเพื่อทำสมาธิปฏิบัติเป็นเวลา 1 วัน 1 คืนแล้วนั้น ฉันได้มีโอกาสพบฤๅษีท่านหนึ่งที่ครองผ้าหนังเสือของจริง โดยชาวบ้านเรียกท่านว่าฤๅษีสมิง ซึ่งท่านได้ทำพิธีเสาร์ห้าให้ฉันและพี่สุภาภรณ์ รวมทั้งชาวบ้านละแวกนั้น แต่ที่พิเศษกว่าใครคือท่านได้มอบประคำที่มีลูกกลมๆ สีดำที่อยู่บนฐานของบายศรีของเสาร์ห้านั้นให้ฉันคนเดียว ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้มอบประคำนี้ให้แก่ฉัน ทั้งที่มีคนเข้าไปแบมือขอล้อมรอบตัวท่าน แต่ท่านก็โยนประคำนี้ลงบนมือของฉันแต่เพียงคนเดียว ฉันจึงรับประคำนี้มาเก็บบูชาเอาไว้ตราบจนถึงทุกวันนี้

อยู่ดีๆ งานที่ฉันทำก็ประกาศลดจำนวนพนักงาน โดยมีชื่อของฉันถูกคัดออกเป็นอันดับต้นๆ ของบริษัทอย่างไม่น่าเชื่อ ชีวิตที่โปรยดั่งกลีบดอกกุหลาบของฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ส่วนพี่สุภาภรณ์ยังคงทำงานอยู่ในตำแหน่งเดิม พี่สุภาภรณ์กล่าวเสียใจกับฉัน ฉันจึงต้องออกหางานใหม่ทำในวัยสามสิบต้นๆ อันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากมากเนื่องจากอายุมากขึ้นแล้ว

ฉันตัดสินใจไปสมัครงานที่บริษัทเก็บรักษาสเต็มเซลล์แห่งหนึ่ง เมื่อฉันไปถึงเห็นชื่อบริษัทเขียนว่า LifeExtensionFoundation อันเป็นชื่อที่คลับคล้ายคลับคลามากว่าเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน แต่ก็จำไม่ได้ เมื่อพนักงานมาสัมภาษณ์ถึงสาขาที่เรียนจบมา ก็ปฏิเสธงานทันที พร้อมกล่าวว่า “ขอโทษค่ะ…เรายังไม่เปิดรับงานในสาขานี้…คาดว่าในอนาคตอันใกล้เราจะรับค่ะ…นี่คือนามบัตรของเรานะคะ” พนักงานยื่นนามบัตรมีอีเมลแอดเดรสเขียนว่า [email protected] ทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่านี่คืออีเมลแอดเดรสเดียวกับหนังสือเรื่องที่ฉันส่งบทวิจารณ์ไปสี่หน้ากระดาษเอสี่นั่นเอง ฉันจึงรับนามบัตรมาแล้วรีบเดินออกจากประตูทางเข้า แต่ฉันได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดดังลั่นก่อนที่จะเดินจากไปว่า

“ให้ลองเข้ามาก่อนสิ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น

“ค่ะ” เสียงอ่อยๆ ของพนักงานหญิงเมื่อสักครู่ตอบพร้อมกับเดินมาขวางการเดินจากไปของฉัน แล้วหมายจะจับข้อมือของฉันจูงกลับมาในห้องอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ชายคนนั้นพูดขึ้นว่า “คุณคือ ญารัล วรา ใช่มั้ยครับ”

“ใช่ค่ะ” ฉันตอบอย่างงุนงง เพราะน้อยคนจะออกเสียงชื่อนามสกุลของฉันได้ถูกต้อง

จากนั้นพนักงานหญิงจึงเดินเลี่ยงออกไปอย่างรู้หน้าที่

“คุณส่งบทวิจารณ์มาสี่หน้ากระดาษเอสี่ใช่มั้ยครับ” เขาเริ่มบทสนทนาใหม่

ฉันตกใจมาก จนเขาต้องชูหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา เล่มที่ฉันวิจารณ์ไปสี่หน้ากระดาษเอสี่ เล่มที่ฉันซื้อมาจากร้าน 7-11 นั่นแหละ

“อ๋อ…คุณนั่นเอง…เจ้าของหนังสือ…คุณวิชา วิชาชาญ…และนี่คือบริษัทของคุณ” ฉันถามเขา

“ใช่ครับ…บริษัทของผมเอง…ผมนึกว่าคุณเข้ามาสมัครงานที่นี่เพราะทราบว่าเป็นบริษัทของผม” เขาท้วงติง

“ไม่ค่ะ…ดิฉันไม่ทราบจริงๆ…ต้องขออภัยค่ะ…ดูเหมือนว่า คุณจะไม่พอใจดิฉันที่วิจารณ์หนังสือของคุณ” ฉันถามจี้ใจดำ

“ครับ…ผมเข้าใจ…และนี่เอง…ผมถึงจะมอบสิ่งนี้ให้กับคุณ”

เขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก…สักพักวิชาเข้ามาประชิดตัวหญิงสาวด้วยความรวดเร็วเหนือมนุษย์ หญิงสาวไม่ทันรู้สึกตัวถึงเข็มขนาดใหญ่ที่จ้วงแทงเข้าที่ลำคอ ทำให้สติสัมปชัญญะของเธอดับวูบลง

เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ความทรงจำครั้งสุดท้ายของเธอคือพิธีเสาร์ห้าในป่ากับพี่สุภาภรณ์

เสียงมารดาของเธอปลุกให้ตื่นว่า “ฟื้นแล้วเหรอลูก”

“ที่นี่ที่ไหนคะ” ญารัลถามมารดา

“โรงพยาบาลจ้ะ” มารดาตอบเสียงเบาพร้อมเอามือลูบศีรษะเธอเบาๆ

“เกิดอะไรขึ้นคะ…ทำไมหนูจำไม่ได้” เสียงเธอถามมารดา

“ไม่เป็นไร…หนูใจเย็นๆ พักผ่อนเสียก่อนนะ ลืมมันไปเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้หนูอยู่ที่นี่และปลอดภัย ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้นแล้ว ลืมทุกอย่างเสีย ไม่ต้องไปจดจำอะไรมันนะลูก” เสียงมารดาปลอบให้เธอนอนหลับ จากนั้นเธอก็นอนหลับไปเพราะฤทธิ์ยา

ญารัลกลับบ้านหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ ด้วยความที่เธอไม่สามารถประกอบอาชีพอะไรได้เลยเพราะอาการป่วย ความจำไม่ดี ต้องอาศัยเงินเก็บเก่ายังชีพไปวันๆ เธอประหลาดใจมากที่เธอค้นเจอหางตั๋วเครื่องบินที่มีชื่อเธอบินจากสุวรรณภูมิไปเขมร และเมื่อค้นพาสปอร์ตก็พบว่ามีตราประทับจากแผนกตรวจคนเข้าเมืองเขมรจริงๆ ด้วย ว่าแต่ทำไมเธอเดินทางไปเขมร เธอไม่เข้าใจ เธอจำไม่ได้ว่าเธอเดินทางไปเขมร รวมทั้งไปสายการบินนี้ ญารัลนึกถึงเรื่องนี้ทีไร เธอปวดศีรษะเป็นไมเกรนทุกที ทำให้ต้องคว้ายาแก้ปวดขึ้นมารับประทานทุกครั้ง

ญารัลเหงามาก วันๆ หนึ่งเธอมีเพียงเว็บพลังจิตเป็นเพื่อนแก้เหงาคอยให้กำลังใจเสมอมา เพราะต่างก็มีอาการเจ็บป่วยและประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่คล้ายกัน หากเธอไปคุยกับเพื่อนที่เว็บอื่นเช่นเว็บพันทิป พวกนี้จะขออาราธนาเชิญเธอมายังเว็บพลังจิตโดยทันที เพราะต่างก็ลงมติว่าเธอคุยไม่รู้เรื่อง เธอจึงสิงสถิตอยู่ในเว็บพลังจิตและในเฟซบุ๊กอันเป็นสังคมออนไลน์ที่ทำให้วันๆ หนึ่งเธอแทบไม่ได้ออกจากห้องนอนของเธอเลย

…น้องชายคนหนึ่งของเธอ…สกั๊งค์ …ชื่อจริงตามบัตรประชาชนที่ตอนนี้ประกอบอาชีพนักพรต มีอาจารย์เป็นฤๅษีท่านหนึ่งโดยที่สกั๊งค์ไม่ยอมเปิดเผย สกั๊งค์เข้ามาทักทายบนเฟซบุ๊ก แต่สายตาที่ภาพโพสต์ใหม่นั้นจ้องมองผ่านเฟซบุ๊ก มิใช่สายตาของสกั๊งค์คนที่เธอเคยรู้จักเลย เป็นสายตาที่อาฆาตแค้น เนื่องจากตอนนี้ญารัลมีเพื่อนชาวฝรั่งชื่ออเล็กซ์เป็นดีเจเข้ามาพัวพันทางเฟซบุ๊ก

…ช่างเป็นแววตาที่แปลกประหลาดเสียจริง…ญารัลคิดในใจ

เมื่อเธอเปิดเฟซบุ๊กเล่นตามปกติ เธอเข้าไปแฮปปี้เบิร์ธเดย์สกั๊งค์ เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของน้องชายสกั๊งค์พอดี สกั๊งค์ส่งภาพของเขาหลายภาพที่ถ่ายในถ้ำหินงอกหินย้อยแห่งหนึ่งให้ดู ปากทางเข้าถ้ำลึกมาก ภายในสวยงามเพราะมีหินงอกหินย้อย มีภาพของเขาทำกรรมฐานหลับตาในถ้ำแห่งนี้ดูสงบและสวยงามแปลกตาจริงๆ

ญารัลเริ่มมีอาการป่วยสามวันดีสี่วันไข้ และเริ่มคิดสั้นเมื่อคุยกับอเล็กซ์เพื่อนดีเจของเธอ เธอคว้ายานอนหลับจำนวน 100 เม็ดขึ้นมาหมายจะปลิดชีพตนเองอย่างไร้เหตุผล เธอเก็บตัวเงียบพร้อมกรอกยาเข้าปากเพื่อหวังจะนอนหลับสนิทคนเดียว เพราะไม่มีหมอคนไหนเลยที่สามารถรักษาอาการป่วยของเธอได้

เธอตื่นขึ้นมาจากนอนสลบไปสามวัน โดยมีคุณแม่ของเธอเข้ามาเยี่ยมในห้องนอน เธอระบมกระเพาะอาหารของเธอมาก โชคดีที่ยานี้เป็นยาที่ไม่แรงและร่างกายของญารัลแข็งแรง ถึงแม้จะไม่ได้ล้างท้อง แต่ญารัลก็รอดมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ญารัลตื่นขึ้นมาพร้อมกับมีเสียงในหัวพูดสั่งการกับเธอว่า

“เธอนึกว่าจะหนีฉันไปได้ง่ายๆ เหรอ…แพศยา” เธอตกใจเสียงในหัวของเธอ เพราะเป็นเสียงผู้ชาย เธอบ้าบอคอแตกอะไรอีกล่ะ ต้องไปพบจิตแพทย์จริงๆ หรือ ป่วยทางกายไม่พอ ต้องป่วยทางจิตอีกหรือ เธอไม่กล้าเล่าให้คุณแม่ฟัง เนื่องจากเธอเพิ่งฟื้นและกลัวท่านไม่สบายใจเพราะท่านอายุมากแล้ว

และแล้วเสียงนี้ก็หายไป …เธอดีใจมาก ที่เสียงประหลาดหายไป เธอคงจะละเมอฝันไปกระมัง เธอคิด เธอจึงออกค้นหาข้อมูลทางเว็บพลังจิต

เก้าชีวิตเหรอ…เธอประหลาดใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหมือนแมวเลย…เพื่อนของญารัลเล่าให้ฟังผ่านในเว็บพลังจิต เขาใช้ยูสเซอร์เนมว่าไม้ขีดไฟ เขากำลังเล่าเรื่องสมิงให้ทุกคนในเว็บพลังจิตฟังอย่างเมามัน

ใช่ เหมือนแมว และสมิงกลัวไม้ขีดไฟ…ไม้ขีดไฟเล่าให้ทุกคนฟัง

จริงดิ…เพื่อนๆ บนเว็บพลังจิตต่างเชื่อเจ้าไม้ขีดไฟทุกคนว่าสมิงกลัวไม้ขีดไฟ

จนกระทั่งมีเพื่อนสมาชิกที่ทนไม่ไหว มาเล่าให้ฟังว่า…ไม่ใช่ สมิงไม่ได้กลัวไม้ขีดไฟ แต่จุดไม้ขีดไฟไม่ได้ เพราะมีปัญหาเรื่องนิ้ว ไม่ได้มี 5 นิ้ว ทำให้พวกนายพรานแยกความแตกต่างออก นั่นเอง เพื่อนๆ จึงรู้ว่านายไม้ขีดไฟขี้โม้นั่นเอง

อีกไม่กี่วันถัดมาอเล็กซ์ก็เข้ามาคุยกับญารัลอีก งานนี้เขาชวนเธอไปที่ผับย่านสุขุมวิท เธอตัดสินใจแต่งตัวสวยเพื่อจะออกไปพบเขา พลันมีเมสเซ็นเจอร์ของสกั๊งค์เข้ามา เขียนมาหาเธอว่า…

“พี่อย่าออกไปนะ ไม่งั้นตาย” ทำให้ญารัลงุนงงมากว่า สกั๊งค์ล่วงรู้ได้อย่างไรว่าเธอจะออกไปไหน เธอไม่เชื่อสกั๊งค์ เธอนั่งรถไปพบอเล็กซ์ที่ผับย่านสุขุมวิท พลันเธอเกิดปวดท้องกะทันหันเลยต้องนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอพบว่าอาการป่วยค่อยๆ แย่ลง จนต้องนอนซมบนเตียงไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้เลย เสมือนโดนตรึงบนเตียงนอน ฉับพลันมีเสียงกระซิบว่า

“ฉันจะเอาเธอไปด้วย” เป็นเสียงผู้ชาย

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ญารัลถามเสียงประหลาดที่โต้ตอบกับเธอ

“ฉันบอกเธอแล้วว่าไม่ให้มาเกิด เธอไม่เชื่อฉัน”

“ใครอ่ะ…ใคร” ญารัลโต้เสียงดังลั่นห้อง

…เมื่อการเสร็จ จะได้สม ภิรมย์หมาย…เขาย้ำ แต่ตอนนี้ ฉันจะต้องจัดการกับกายทิพย์ของเธอก่อน เพื่อที่ฉันจะได้แทรกเข้ามาในมิติของเธอได้…เธอรู้มั้ยว่า หากฉันไม่มาช่วยเธอ อะไรจะเกิดขึ้น …เขาจับเธอตรึงบนเตียง จนเธอขยับไม่ได้ หน้าต่างทุกบานถูกปิดและลงกลอน เบรกเกอร์เครื่องปรับอากาศถูกยกลงเพื่อตัดไฟทิ้ง ญารัลถูกขังอยู่ในห้องเพื่อรออากาศหมดอยู่สามวันโดยที่ไม่มีอากาศหายใจเลย

เธอนึกถึงเรื่องประหลาดที่เพื่อนของเธอเคยนำเสนอ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้เครื่อง Sarco machine หรือเครื่องฆ่าตัวตายที่ค่อยๆ รีดอากาศออกให้หมดสำหรับผู้ป่วยที่ตัดสินใจจะฆ่าตัวตายเนื่องจากไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเพราะอาการป่วยที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทั้งนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากแพทย์ให้ใช้เครื่องฆ่าตัวตายอันนี้ก่อน