การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ หมาดใหม่ ในกระตุกเต้น

รถจอดที่หน้าตัวอาคารตึก ซึ่งเมื่อมองขึ้นไปก็เห็นความเก่ากะเทาะ สีถลอกเป็นแห่งๆ กำแพงรั้วเตี้ยด้านหน้านั้นหรือ ก็คือที่สุมของกองขยะ

ทว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มีรถยนต์ขี่ มีเงินเช่าห้องในตึกอย่างนี้ ก็นับว่าเป็นคนมีเงินทอง ไม่ใช่หมูหมากาไก่ เพราะถ้าสิ้นไร้อับจนทางไปจริงๆ ย่อมเป็นอย่างตัวฉัน…คนที่อยู่ไปวันต่อวัน แม้จะพอมีงานได้สตางค์ ก็ยังไม่มีวันเพียงพอ

ไม่มีทางพอ ถ้าคิดจะปลูกบ้านสักหลัง…หรืออย่างที่มุ่งหมาย ว่าจะไปทำสวนเกษตรปลูกถั่วปลูกข้าว

แค่จะหาทางเอาที่ดินของยายกลับมาก็ยังยากเหลือแสน

มองไม่เห็นทางออกใดๆ

 

“สนุกไหมวันนี้”

พี่ชุนเอ่ยถามคนที่เปิดประตูตามลงมา อัมพรสลัดผมและบิดไหล่ คล้ายจะแก้ความเมื่อยขบ ยืดเส้นยืดสาย

“ม่วนมากค่ะพี่” นังงูพิษตอบ น้ำเสียงระรื่นไม่ต่างกัน “วันหลังขอไปอีกได้มั้ยคะ”

“ได้สิ” เสียงรีบตอบรับ “เสียดายวันนี้เลยไม่ได้เข้าไปที่บาร์เลย…หรือว่า…”

ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า พี่ชุนต้องการพาอัมพรไปเที่ยวที่ทำงานตัวเองเพียงใด มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปแล้วเพียงชั่วข้ามวัน

แต่นั่นก็คือเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้

แม้แต่จิตใจตัวฉันเอง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่ ไว้วันหลังก็ได้ ให้คนป่วยได้พัก…พี่ก็จะได้ดูแลเขาเต็มที่”

น้ำเสียงที่มีจริตมายา ฟังออกอีกว่าแฝงการพูดแบบมีเป้าหมาย ให้ตายเถอะ ฉันรู้เช่นเห็นชาติคนอย่างหล่อนจนเหมือนแก้ผ้ามองหน้ากันอยู่

แต่รู้ทั้งรู้ ก็ทำได้แค่เล่นละครเหมือนกัน

“…พี่พา…เอ้อ…ใหม่ไปก็ได้นี่นะ เราไม่เป็นอะไรมากหรอก ได้นอนหน่อยเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

พี่ชุนดูนาฬิกาข้อมือทันที

“กี่โมงแล้วนี่…อ้าว เพิ่งจะห้าโมงกว่า”

“นั่นแหละค่ะ พี่จะได้ไปหาข้าวกินกันก่อน” ฉันตอบกลับไป และใจก็หมายความตามนั้นจริงๆ “ฉันอยากนอนแล้วล่ะ”

“โธ่ ได้ยังไง!” กลับเป็นนังงูพิษ เป็นฝ่ายโต้แย้งขึ้นมา “เราจะไปสนุกกันสองคนได้ยังไง ถ้าปล่อยให้เธอนอนซมอยู่คนเดียวในห้อง ใช่มั้ยพี่”

พี่ชุนยิ้มเจื่อนๆ

“เอายังงี้ เราหาอะไรมากินที่ห้องพี่ได้มั้ยละคะ” หันไปหาคนตัวขาว อัมพรทำเสียงออดอ้อนอย่างที่หล่อนถนัดดี “ใหม่เองก็ยังไม่อยากกลับบ้าน นานๆ จะได้เจอเพื่อน…ได้เจอพี่”

“ได้สิ ได้” นั่นยังไง พี่ชุนตอบรับทันที “แต่จะเป็นอาหารตามสั่งนะ ของร้านข้างใน กินได้ไหมล่ะฮะ”

“ได้…” อัมพรลากเสียงยาว “รึไม่ เราก็ไปซื้อมาเพิ่ม ดริ๊งก์กันในห้องนี้แหละ สบายดีออก”

หล่อนพูดคำฝรั่งแทรกด้วย พี่ชุนยิ้มอย่างถูกใจ พึงพอใจ ดูตอบรับง่ายดายไปทุกสิ่งอัน

และเป็นครั้งแรกที่พี่ชุนแทบไม่สนใจฉัน แม้จะเปิดประตูรถลงมาด้วยใบหน้าซีดเซียว

 

“โอ้โฮ น่าอยู่นะคะ”

อัมพรทำเสียงรื่นเริงตื่นเต้น ทำราวตัวเองเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่พลัดหลงมา ก้าวเร็วไปชะโงกดูตรงนั้นตรงนี้ สายตาสอดส่ายซ้ายขวา จนกระทั่งกลับมายืนอยู่กลางห้อง

เตียงนอนยังยับย่นอยู่ แน่ละ เพราะว่าเป็นเช้าที่เรารีบลุกออกไป

นังงูพิษปรายตามองที่นอน แล้วเบือนไปหาเจ้าของห้อง พี่ชุนคงเข้าใจความหมายในตานั้น เช่นกันกับตัวฉัน ที่เห็นในสิ่งเดียวกัน

ต่างเพียงว่า เห็นลึกกว่านั้น

“ที่นอนกว้างดีแท้” นังปีศาจว่า

“เอาละ งั้นเดี๋ยวเรามาปาร์ตี้กันที่นี่แหละ”

พี่ชุนมองอัมพรตาเชื่อม

“เต็มที่เลยใช่มั้ยฮะ”

“ฮื่อ” หล่อนพยักหน้า “อย่างนี้แหละดี ถึงเมาก็มีที่นอน”

พี่ชุนหัวเราะทันควัน น้ำเสียงขบขันและเอ็นดู

“ตกลง งั้นเดี๋ยวพี่ไปเอาของกินมาอีกดีกว่า ข้างล่างก็สั่งได้แต่ของพื้นๆ”

“เขามียำแซบๆ มั้ย”

“นั่น ยังไม่เข็ดอีก เจอพริกไปรอบหนึ่งแล้วนะ”

“ก็มันอยากกินนี่” อัมพรทำเสียงออด “ถึงกินไม่ได้ แต่ก็ใจอยาก เข้าใจไหมล่ะคะ”

พี่ชุนหัวเราะเสียงดัง

“เออ พี่ไม่เคยเจอ คนกินเผ็ดไม่ได้ แต่อยากกินเผ็ดๆ”

“พี่ไม่เข้าใจหรอก เรื่องของอารมณ์ผู้หญิง” ทำเสียงกระเง้ากระงอดเข้าไปอีก

“เออๆ พี่คงไม่ค่อยเข้าใจ” พี่ชุนรีบพูด น้ำเสียงภาคภูมิใจที่อีกฝ่ายยกให้ว่า ตัวไม่ใช่ผู้หญิง

“งั้นเดี๋ยวพี่รีบไปรีบมา”

“เธอก็ไปกับพี่เขาสิ” ฉันเอ่ยปากออกไป น้ำเสียงปิดความรำคาญไม่มิด

พี่ชุนเหลือบตามาทันที แต่นังงูพิษเป็นฝ่ายตอบทันควัน

“ไม่ต้องหรอกมั้ง ให้พี่เขาไปคนเดียวเร็วกว่า…จะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อนเธอ เกิดเป็นลมแล้งไปคนเดียวจะทำไง”

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก”

“อย่าเพิ่งพูด หน้าซีดเสียขนาดนั้น” นังงูพิษเหลียวมาจ้องฉันเต็มตา “เดี๋ยวพี่ชุนกลับมาค่อยว่ากัน ยังไงถ้าคืนนี้ฉันเมา พี่ชุนเมา…เธอก็ต้องได้ช่วยตัวเองอยู่แล้วละ”

 

พี่ชุนออกจากห้องไปแล้ว และทันทีที่ประตูปิดลง ในห้องเหลือเพียงเราสองคน นังงูพิษก็เปลี่ยนเป็นคนละคนจากก่อนหน้า

โดยรวดเร็ว อัมพรกลับมายืนจ้องหน้า

“ว่ายังไง”

“อะไร?”

อัมพรขยับเท้าเข้ามาอีก และฉันก็เป็นฝ่ายถอยหลัง จนกระทั่งขอบน่องชนข้างเตียงนอน

ต้องนั่งลงโดยไม่มีทางเลือก

“เป็นสุขมากละซี อยู่ในรังรักอย่างนี้…”

“เอ๊ะ อะไรกันอัมพร” ฉันแปร่งหูกับน้ำเสียงหาเรื่องนั้น

“อย่ามาเล่นละครกับฉัน…ถอยออกไปหน่อย”

“ไม่”

อัมพรรุกเข้ามาอีก จนกระทั่งเหลือช่องว่างกันแค่คืบเท่านั้น

“กูไม่ได้เล่นละครกับมึง มึงสิ เล่นละครกับกู”

“อะไร?” ฉันเสียงแข็งเข้าใส่ “ไม่ต้องมาสับปะหลี้ใส่กันแล้ว! คนตอแหล!”

“ใครกันแน่ตอแหล!” อัมพรขบฟัน ตาจ้องฉัน จนเห็นในชั้นม่านที่ปราศจากสิ่งอำพราง

นั่นคืออัมพรคนเก่า คนก่อนหน้า นังแพศยา ชาติวอกชาติหมา ที่เต็มไปด้วยความหยาบกระด้าง เห็นแก่ตัว

“มึงรักมันเหรอ ปู๊เมียนั่นน่ะ”

“เอ๊ะ อัมพร!” ฉันไหวไหล่จะลุก แต่นังงูพิษก็กดไหล่เอาไว้

“มึงไม่เห็นเหรอ พอมันเจอกู ก็สนใจกูเข้าให้…มึงนึกเหรอว่ามันจะรักมึงไปตลอด”

ทำไมฉันจะไม่รู้…ยิ่งรู้แน่ชัดในตอนนี้ว่า ตัวพี่ชุนเองก็ไม่ได้รักตัวฉัน แค่เพียงการหาทางลงให้ความรู้สึก

บ้าบอแค่ไหน กับการ “พยายามจะรัก” และ “มุ่งจะใช้ชีวิตคู่” เพราะเป็นเนื้อคู่จากนิมิตครูบา

แต่ก็นั่นล่ะ ทุกคนบ้าเหมือนกันหมด รวมถึงตัวฉันและนังแพศยา

“มึงไม่ต้องพูดอัมพร กูรู้ทุกอย่างนั่นล่ะ”

“เออ คนฉลาด แล้วมึงรู้มั้ย กูคิดยังไงกับมึง”

 

จะมีสักกี่ครั้ง ที่บางคำพูดชั่วช้าสามานย์กลับสั่นสะเทือนเข้าไปถึงข้างใน ช่างโง่เง่าสิ้นดี แม้แต่ในยามที่รู้อยู่เต็มอก หนองที่ชุ่มเนื้อเป็นอย่างไร หรือกระทั่งงูตัวหนึ่งยังเลื้อยบิดขดหางอยู่ไหวๆ ในโพรงอก ไหนจะความเจ็บแสบซ้ำๆ กับการกระทำต่ำทรามของคนเบื้องหน้า แต่ว่า ฉันก็ยังเป็นคนคนนั้น ที่แทบจะสั่นไปทั้งตัว

กับสิ่งที่ตัวเองทั้งคุ้นเคยและไม่รู้จัก

นังคนสับปะหลี้ตีสีหน้าอย่างคนมีชัย ขณะคุกเข่าลงบนพื้น

“…แต่มึงเป็นฝ่ายไปนะอัมพร” ฉันปล่อยคำพูดที่ค้างใจออกมา “มึงละกูหนี”

“ใช่ แต่เพราะกูต้องไป มึงไม่รู้อะไรหรอกอีพี่”

อัมพรยึดข้อเท้าฉันเอาไว้ทั้งสองข้าง

“อีคำ…อีสร้อยสายไม่ใช่พี่แท้ๆ ของกู แล้วมันก็เล่นก้นกู…มันหลอกกู…”

“หมายความว่ายังไง…”

“มันหลอกกู มันเอากูไปส่งให้ผัวมัน…มึงดูอะไรนี่”

มือที่จับข้อเท้าคลายออก แล้วอัมพรก็เลิกชายเสื้อตัวเองขึ้น แกะตะขอยกทรง

นมอวบเต่งตึงทะลักออกมา

ทว่าจุดที่เคยเป็นหัวนมกลายเป็นก้อนนูนของแผลเป็นขนาดใหญ่ สีน้ำตาลเกือบดำคล้ำ แผลเย็บแบบเหลือรอยทิ้งไว้ สิ่งนั้นชวนให้คลื่นเหียนขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง

“อัมพร…” ฉันอ้าปากค้าง

“มึงดูเลย ดูให้เต็มตา แล้วจะได้รู้ว่า ใครสุขกว่าใคร”

 

ไม่อาจจะมีคำพูดอะไรได้ มันไม่ใช่เรื่องโสภาอะไรเลย กับการจะอวดแผลเป็นแก่กัน แต่นั่นก็คือสิ่งที่อัมพรทำกับฉัน ยั่วยุฉัน ให้เปิดเผยรอยแผลแก่หล่อนบ้าง

ดังนั้น เมื่อพี่ชุนกลับมา จึงเป็นเวลาที่เราติดกระดุมเสื้อกันเสร็จสิ้นแล้ว และต่างก็ปั้นหน้ามารยาสาไถยใหม่

แต่ก็มีอีกสิ่งเกิดขึ้นอย่างหมาดใหม่ ในกระตุกเต้นของเลือดเนื้อใต้รอยแผลเป็นของเราสอง ฉันสังเกตว่า อัมพรลอบปรายตามองฉันบ่อยขึ้น และแน่นอน มีรอยยิ้มเยาะในนั้น บอกฉัน บอกแล้วบอกอีกว่า “เห็นไหม กูน่ะ ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด”