ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ /LIGHT OF MY LIFE “วิบัติภัย”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

LIGHT OF MY LIFE  “วิบัติภัย”

 

กำกับการแสดง Casey Affleck

นำแสดง Anna Pniowsky Elisabeth Moss Tim Bower

 

Light of My Life เล่าเรื่องของพ่อที่พยายามปกปักรักษาลูกน้อยที่เปรียบเสมือนแสงสว่างในชีวิตให้อยู่รอดท่ามกลางวิบัติภัยเลวร้ายที่คุกคามการอยู่รอดปลอดภัยของลูกน้อย

พล็อตเรื่องทำนองนี้ไม่ใช่ของใหม่ เราได้ดูหนังในลักษณะคล้ายคลึงกันแบบนี้มาแล้วหลายต่อหลายเรื่อง

การวางท้องเรื่องและการดำเนินเรื่องทำให้นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษคือ The Road (2009) ซึ่งมีวิกโก มอร์เทนเซน เล่นเป็นพ่อที่คอยปกป้องลูกชายตัวเล็ก อดอยากยากแค้น ฟันฝ่าหนทางทุรกันดารไปในโลกที่ถูกมหันตภัยทำลายให้เหลือเพียงซากปรักหักพังในสังคมที่ไร้กฎหมายไร้ขื่อแปและไร้อารยธรรมอย่างที่เรารู้จัก

การเดินเรื่องคล้ายกันอย่างที่ต้องบอกว่า The Road เป็นแรงบันดาลใจให้เกิด Light of My Life ตามต่อมาอย่างไม่ต้องสงสัย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยแฟลชแบ็กในหัวของพ่อที่นึกย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ระหว่างที่แม่ของลูกยังมีชีวิตและภาพของครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อแม่และลูกขณะยังเป็นทารก จำได้ว่าแม่เล่นโดยนักแสดงระดับแนวหน้าคือชาร์ลีซ เธอรอน

ขณะที่เอลิซาเบธ มอสส์ ผู้โด่งดังมาจากหนังซีรี่ส์ยอดนิยมสองชุดคือ Mad Men และ The Handmaid”s Tale เล่นเป็นตัวแม่ในแฟลชแบ็กของครอบครัวที่สมบูรณ์แบบใน Light of My Life

The Road สร้างจากนวนิยายรางวัลพูลิตเซอร์ของนักเขียนชื่อดัง คอร์แม็ก แม็กคาร์ธี

ส่วน Light of My Life เป็นผลิตผลจากแรงบันดาลใจและมันสมองของเคซีย์ แอฟเฟล็ก น้องชายผู้เลือกทางเดินบนเส้นทางสายเดียวกับพี่ชายสุดหล่อผู้โด่งดังคือเบน แอฟเฟล็ก ที่ไม่พอใจอยู่กับการเป็นเพียงใบหน้าหล่อๆ ในจอภาพยนตร์ แต่ต้องการพิสูจน์ให้โลกประจักษ์ว่ามีฝีมือและความสามารถมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก

เคซีย์เล่นหนังในบทประกอบเล็กๆ น้อยๆ มาหลายเรื่อง โดยถูกกลบอยู่ใต้ความดังของเบนผู้เป็นพี่ชาย

เขาเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับนับถือในวงการด้วยบทนำใน Manchester by the Sea

ทว่าเช่นเดียวกับพี่ชายเบน ผู้นำพาตัวเองก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้กำกับฯ ที่กวาดรางวัลภาพยนตร์ไปมากมายจากหนัง Argo เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่สถานทูตสหรัฐประจำกรุงเตหะรานถูกยึดและเจ้าหน้าที่ทูตถูกจับไว้เป็นตัวประกันนานกว่าหนึ่งปี และแผนการของอเมริกาในการช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทูตหกคนที่ตกค้างอยู่ให้กลับคืนสู่ความปลอดภัย

หนัง Argo ชนะใจทั้งคนดูและกรรมการอย่างแรงด้วยเลือดรักชาติจนพุ่งเข้าสู่เส้นชัยเหมือนพายุพัดกระหน่ำ

เคซีย์ผู้เป็นน้องชายเองก็ไม่ได้พอใจอยู่กับบทบาทของนักแสดงที่อยู่หน้ากล้อง เขาเกิดไอเดียสำหรับหนังเรื่องนี้ และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ที่เขาทั้งอำนวยการสร้าง เขียนบท กำกับฯ และแสดงนำเอง

พูดสั้นๆ คือ หนังเรื่องนี้เป็นผลงานจากมันสมองและฝีมือของเคซีย์ แอฟเฟล็ก แบบที่แทบจะเรียกว่าข้ามาคนเดียวได้เต็มภาคภูมิ

แถมมาด้วยการค้นพบที่น่าชื่นใจอีกอย่างคือ นักแสดงเด็กหญิงตัวน้อยชื่อ แอนนา พนิอาวสกี้ ซึ่งเป็นดาราเด็กที่ทำนายได้ว่าจะมีอนาคตรุ่งโรจน์ต่อไปในไม่ช้า

Light of My Life เปิดเรื่องขึ้นด้วยภาพในเต็นท์แคบๆ พ่อกับลูกวัยสิบขวบนอนเคียงกันอยู่ในแสงตะเกียงริบหรี่

และพ่อเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง ระหว่างนั้นลูกคอยซักถาม ขัดคอ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่พ่อเล่าไปตลอด

ฉากนี้กินความยาวร่วมสิบห้านาที เป็นเรื่องเล่าแบบที่ไม่มีความเคลื่อนไหวไม่มีแอ๊กชั่นตูมตามหรือดูแทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

ทว่าเมื่อมองย้อนหลังกลับไป เรื่องราวช่วงนี้จะบอกให้เรารู้ถึงประเด็นของหนังทั้งหมดอย่างชาญฉลาด

พ่อ (เคซีย์ แอฟเฟล็ก) เล่าเรื่องที่คิดขึ้นสดๆ และด้นสดไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เล่า โดยไม่รู้ว่าเรื่องจะไปลงเอย ณ จุดใด หรือมีบทเรียนสอนใจอะไรแก่ลูกด้วยซ้ำ

เป็นเรื่องของสุนัขจิ้งจอกตัวเมียผู้ชอบผจญภัย กับสุนัขจิ้งจอกตัวผู้ที่เป็นผู้คอยติดตามไปด้วยในทีแรก แต่เมื่อเล่าไปๆ เรื่องก็กลายเป็นการผจญภัยของสุนัขจิ้งจอกตัวผู้ไปอย่างไรก็ไม่รู้ ท่ามกลางเรื่องเล่าที่แปรไปสู่เรื่องราวคู่ขนานกับเรื่อง “เรือของโนอาห์” ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับภัยพิบัติในปฐมกาลที่เกิดน้ำท่วมโลก ยังผลให้เผ่าพันธุ์มนุษยชาติถูกกวาดล้างไปจนเกือบหมดสิ้น

ดีแต่ว่าพระเจ้าให้โนอาห์สร้างเรือขนาดใหญ่ เพื่อบรรทุกสัตว์สายพันธุ์ต่างๆ อย่างละคู่ ทั้งตัวเมียตัวผู้ เพื่อให้อยู่รอดไปขยายพันธุ์ต่อไปในโลกใหม่

แร็ก (แอนนา พนิอาวสกี้) บอกว่าเธอรู้จักคำว่า “สายพันธุ์” และถามพ่อว่า ตัวเธอเป็นเด็กหญิงคนเดียวของสายพันธุ์ใช่ไหม

แต่พ่อก็บอกว่า เรื่องที่เขาเล่าไม่ใช่เรื่องของโนอาห์ แต่เป็นเรื่องของหมาจิ้งจอกที่ชื่ออาร์ต

หลังจากพ่อเล่าเรื่องจบในคืนนั้น ลูกสาวแสนฉลาดตั้งคำถามว่า ไหนพ่อว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมาจิ้งจอกตัวเมีย ทำไมเล่าๆ ไปแล้วจึงกลายเป็นเรื่องของหมาจิ้งจอกตัวผู้ไปได้

พ่อเลยบอกว่า เรื่องของหมาจิ้งจอกตัวเมียยังเป็นอีกเรื่องต่างหากจากนั้น

และหลังจากทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ประเด็นเกี่ยวกับเพศเมียเพศผู้นี้ยังผุดกลับขึ้นมาใหม่ เมื่อในที่สุดแล้วแร็กบอกว่ารู้แล้วว่าทำไมจึงเป็นเรื่องของหมาจิ้งจอกตัวเมีย

ซึ่งเป็นตอนจบของหนัง ซึ่งดูจะชูประเด็น “สตรีนิยม” ขึ้นมาอย่างแยบยลและแนบเนียน

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวทั้งหมดยังเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นความเป็นไปในชีวิต

จุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่ตัวการเดินทางและคนที่ร่วมทางไปด้วยนั้นเองต่างหากที่สำคัญ

เหมือนกับเรื่องอีกเรื่องที่พ่อเล่าให้ลูกฟัง ถึงการเดินทางไปพักผ่อนกับแม่ครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการเดินทางที่ดีมาก ทั้งๆ ที่เกิดอุปสรรคขวากหนามสารพัดที่ต้องเผชิญไปด้วยกัน ลำบากลำบนไปด้วยกัน

แต่นั่นเป็นการเดินทางของความรัก จึงเป็นความทรงจำที่ดีของชีวิต

นี่เป็นหนังเกี่ยวกับภัยพิบัติล้างโลกที่ทำลายอารยธรรมแบบที่เรารู้จักไปเกือบหมดสิ้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการอยู่รอดท่ามกลางความลำบากยากแค้นและโลกที่อ้างว้างและน่ากลัว

ทว่าเนื้อหาก็สะท้อนให้เห็นชีวิตและการดำเนินชีวิตที่ดีในโลก รวมทั้งนัยแห่งความหมายที่น่าคิดอีกหลายประเด็น

สภาพของโลกหลังหายนภัยไม่ได้เลวร้าย อันตราย น่ากลัว หรือลำเค็ญเท่าเทียมกับสภาพการณ์ของพ่อลูกใน The Road หรอกค่ะ ปัจจัยหลายอย่างดูออกจะเอื้ออำนวยเกินไปด้วยซ้ำ

ยังมีอาหารปันส่วนจากรัฐบาลกลาง ยังมีชุมชนที่เกื้อหนุนกันอยู่พอควรสำหรับมนุษยชาติที่เหลือรอดมาจากโรคระบาดครั้งใหญ่

แต่แอ็กติ้งของนักแสดงนำสองคนดูจับตาจับใจเป็นพิเศษ

มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ใช่เลย ปัญหาที่อาจเป็นปัญหาของคนดูทั่วไปอยู่ที่จังหวะการเดินเรื่องที่ออกจะเชื่องช้า เหมือนจะแทบไม่มีอะไรโฉ่งฉ่างเกิดขึ้นให้ชวนติดตาม

แต่สำหรับคนที่ชอบดูอะไรที่ละเมียดและละเอียดอ่อนโดยไม่ใจร้อนอยากให้เกิดเรื่องตูมตามแบบในหนังแอ็คชั่นตามกระแส น่าจะชื่นชอบนะคะ

ท้ายที่สุด เมื่อย้อนกลับไปอ่านทั้งหมดอีกที ผู้เขียนก็ออกจะดีใจที่ยังขยักประเด็นใหญ่ๆ ของหนังไว้โดยไม่ให้กลายเป็นสปอยเลอร์สำหรับคนที่อยากจะไปดูหนังโดยไม่อยากรู้เรื่องล่วงหน้าค่ะ