จดหมาย/ฉบับประจำวันที่ 6-12 ธันวาคม 2562

จดหมาย

 

0 บ้า

 

เมื่อโลกมีคนบ้าจริง

วงการแพทย์จึงมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้

มีจิตแพทย์

มีการค้นคว้าตัวยามาบำบัดรักษามากันเป็นร้อยๆ ปีแล้ว

ว่าก็ว่าเถอะ

อีตา “ปิยพงศ์” เอง ก็เคยเป็นศิษย์เก่าของวิทยาลัย “สวนปรุง” (โรงพยาบาลโรคจิต เกี่ยวกับจิตเวช) เมืองเชียงใหม่มาแล้ว

เมื่อปี 2543 คราวนั้นผู้มีพระคุณ อันเป็นที่รัก และเคารพ ท่านเสียชีวิตจากไป

ความเสียใจ ความทุกข์ ความเครียด ถาโถมเข้าสู่จิตใจอย่างมากมาย

กินไม่ได้ นอนไม่หลับตลอดเวลา

ความรู้ทางศาสนา ที่สนใจและใฝ่รู้ ถึงคราวนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้

เพราะขาดการฝึกฝนอย่างจริงจังในเรื่องของการฝึกจิตใจ (สมาธิและภาวนา)

 

ว่าแล้ว… จากเมืองลำพูน ก็ตรงไปยังโรงพยาบาลสวนปรุงเชียงใหม่ทันที

พบจิตแพทย์เพื่อปรึกษา

(ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่า ใครไปสวนปรุง ไม่แคล้วโรคจิตหรือผีบ้าถามหาแน่นอน แต่ประเทศที่เจริญแล้ว การไปพบจิตแพทย์เมื่อมีปัญหาเรื่องจิตใจ ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา)

ซึ่งพอหมอท่านทราบสาเหตุ ก็ให้ยามากิน

ก็ยาคลายเครียดนั่นแหละ

พอกินแล้วก็ง่วง ง่วงแล้วก็หลับ

พอหลับพักผ่อนเพียงพอ จิตใจก็ดีขึ้น

แต่ก็ดีขึ้นแป๊บเดียว

แล้วมันก็หวนกลับมาเหมือนเดิมอีก

กินยาไปสองสามวันก็เลยคิดได้ ขืนอาศัยยาต่อไป ไม่แคล้วติดยาแน่

เลยโยนยาลงถังขยะ ใช้ขันติธรรม ความอดทน อดกลั้นมาแทน

หาหนังสือธรรมะทางศาสนามาอ่าน

มันก็รอดมาได้

 

มาเมื่อปีเศษๆ มานี้ ก็ต้องหวนคืนสู่เหย้า วิทยาลัยสวนปรุงอีกครั้ง (ฮ่า)

สาเหตุเพราะชอบชีวิตแบบสมถะสันโดษ อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด

บ้านก็หลังใหญ่เกินไป หน้าแล้งหน้าหนาว ก็สวยงามเหมือนรีสอร์ต พอหน้าฝนกลับรกทึบเหมือนป่าดงดิบ

เพราะหญ้าเถาวัลย์มันขึ้นรกรุงรัง

คนงานก็หายาก ได้มาก็ไม่สู้งาน ตอนสมัยหนุ่มๆ ที่ขึ้นมาซื้อก็ลุยไหว

แต่พอมีอายุเข้าหน่อยก็ชักไม่ไหว

แถมพรรคพวกเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง มากหน้าหลายตา ดาหน้าเข้ามาขอความช่วยเหลือ เพราะพิษเศรษฐกิจของยุคลุงตู่ พากิจการล้มระเนระนาดกันหมด

เดือดร้อนกันไปทั่วหน้า

เหล่าพระเดชพระคุณ ทำเหมือนอีตา ปิยพงศ์ เป็นเจ้าของธนาคาร หรือพิมพ์แบงก์เองได้

แล้วปัญหามันก็ตามมาสิครับ

เริ่มเครียดอีกแล้ว

กลางคืนตื่นลุกเข้าห้องน้ำ แล้วตาแข็งนอนไม่หลับ และก็สาเหตุนี่แหละ

จึงต้องหวนคืนสู่เหย้าวิทยาลัยสวนปรุง เป็นคำรบสอง

และก็เหมือนเดิม หมอให้ยาคลายเครียดแบบเดิมๆ กินไปสองวันแล้วก็คิดได้อีกครั้ง โยนยาทิ้ง

หันมาเอาคำสอนทางศาสนามาแก้ไข ก็ได้ผลพอสมควร

 

แล้วก็มานั่งนึกดู เรารึ มันก็ประชาชนธรรมดา ประเภท ทองพูน โคกโพธิ์ จบ ป.4 ไม่มีเส้น ราษฎรเต็มขั้น

เจอภาระจากเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องไม่กี่คน ยังเครียดขนาดนี้

แล้วเหล่าท่าน ส.ว. ส.ส. รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ผู้ทรงเกียรติ

พวกท่านมีงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน คนไทยร่วมเจ็ดสิบล้านคน

ท่านไม่ยิ่งกว่าเรารึ

แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ไม่เห็นท่านทุกข์ท่านร้อนอะไรกันเลย

เห็นแต่กระเหี้ยนกระหือรือ แย่งชิงตำแหน่ง และกอดเก้าอี้กันแน่นดูวุ่นวายไปทั้งหมด

พวกท่านช่างมีบุญกันแท้ พับผ่า

เอ หรือพวกท่านบ้ายิ่งกว่าคนทั่วไป (บ้าโลภ บ้าโกรธ บ้าหลง) พวกท่านจึง

ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกันเลยว่าอะไรควรไม่ควร

ปิยพงศ์ เมืองหละปูน

 

ดีแล้ว ที่ปี้ปิยพงศ์ เมืองหละปูน

เมื่อรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ

ก็รีบไปหาหมอ

การได้ไปเล่าอาการ ก็เหมือนได้ระบายก๊อกของเสีย

บรรเทาอาการลงไปได้

ผิดกับผู้ทรงเกียรติที่ปี้ปิยพงศ์เป็นห่วง

ส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าตัวเองป่วย

“อาการ” มาปรากฏให้เราเห็นตั้งแต่ได้ขำ-ขำ ไปจนถึงน่าเวทนา

บ้าอำนาจ นี่เขาว่าตัวดีนัก!