เรื่องสั้น | เด็กกำพร้าบนเกาะมายา

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนไปจากสีฟ้าจางๆ เมื่อเช้านี้ บัดนี้กลายเป็นสีเทา แล้วค่อยๆ เข้มขึ้นทุกขณะเหมือนจิตรกรกำลังเพลิดเพลินกับการละเลงสีอย่างสนุกมือ ลมโบกพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนจะกรีดร้องหวนไห้ ความสว่างค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย ความมืดครึ้มเข้ามาปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เมฆฝนก้อนใหญ่มหึมาแผ่ไปจนเต็มท้องฟ้า ลมบนดังตึงตังพัดไม่หยุดเหมือนผู้คนมากมายกำลังทะเลาะกัน ถกเถียงด่าทอ ตั้งท่าจะเป็นฝ่ายชนะ อีกฝั่งก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เสียงลมเหมือนจะแบ่งเป็นหลายฝ่ายหลายพวกห้ำหั่นกัน วิ่งไปทางนั้นที…ทางโน้นบ้าง

จี้ไจ๋ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกับเพื่อนตำรวจ ประจันหน้ากับอีกฝ่ายรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนมากมาย ยิ่งมองไกลออกไปก็เหมือนมีผู้คนมาเสริมเพิ่มขึ้น ราวเมฆฝนเบื้องบนที่ลอยลิ่วมารวมตัวกันมากขึ้น ใบหน้าของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เคร่งเครียด ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม คนในเครื่องแบบยืนนิ่งเหมือนหุ่นโชว์ในร้านเสื้อผ้า สายตาจ้องเขม็งไปข้างหน้า คอยสังเกตไม่ให้คนกลุ่มใหญ่เคลื่อนตัวฝ่าเข้ามา อีกฝ่ายก็ใช่จะมีความร่าเริง ใบหน้าบึ้งตึง ดวงตามีแต่แววหม่นมัว ความโกรธแค้นเหมือนกองไฟเป็นร้อยกองสุมอยู่ในดวงตานับสิบนับร้อยคู่

ความสุขของคนฮ่องกงจางหายไปนานแล้ว ไม่รู้จะกลับคืนมาอีกเมื่อไหร่ จะนานไหมหนอ จี้ไจ๋ถามตัวเองด้วยหัวใจหดหู่หมองเศร้า แต่เขาต้องยึดมั่นในหน้าที่ของตัวเอง และต้องทำให้ดีที่สุด

จริงๆ จี้ไจ๋ไม่อยากแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นฝ่ายโน้นฝ่ายนั้น ทุกคนเป็นพี่น้องร่วมประเทศหรือดินแดนเดียวกัน เป็นคนฮ่องกงเหมือนกัน เขาไม่อยากเรียกคนกลุ่มนั้นว่าฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายปฏิปักษ์กับรัฐบาลเลย บางคนเป็นเพื่อนรักของเขา เติบโตมาด้วยกัน บางคนเป็นรุ่นน้องเห็นกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก วิ่งเล่นด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ทะเลาะกันบ้าง แล้วก็คืนดีเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

แม่ของจี้ไจ๋เป็นคนไทย มาแต่งงานกับพ่อที่ฮ่องกง พ่อของเขาก็ไม่ใช่คนฮ่องกงแต่ดั้งเดิม พ่อเดินทางมาจากซัวเถา หนีเข้ามาปักหลักทำมาหากินในฝั่งเกาลูน ช่วงนั้นเป็นสมัยนิยมที่ชายฮ่องกงจะข้ามไปหาผู้หญิงไทยเพื่อแต่งงานและร่วมใช้ชีวิตด้วยกัน แม่มีเพื่อนเป็นคนไทยหลายคน เมื่อมีเวลาว่างก็นัดเจอกันสังสรรค์ ลูกๆ ครึ่งไทยครึ่งฮ่องกงเหมือนจี้ไจ๋ก็พบปะเล่นสนุกสนาน

ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนรุ่นใหม่คบหาชอบพอกันง่ายกว่าคนรุ่นเก่า พูดคุยภาษาเดียวกัน เข้าใจกันมากขึ้น จึงแต่งงานกัน พอมีลูก เมื่อไม่มีเวลาดูแลก็ต้องจ้างคนมาเลี้ยงเด็กๆ เพื่อตัวเองจะได้ออกไปทำงานหาเงิน ผู้หญิงจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์แห่มาทำอาชีพแม่บ้านพี่เลี้ยงดูแลเด็กเล็กในฮ่องกงแบบยกขบวนมากันทั้งพี่สาวน้องสาวและญาติลูกพี่ลูกน้อง วันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดพักผ่อน พวกเธอจะไปรวมตัวสุมหัวพูดคุยกันเสียงดังจ๊อกแจ๊กเหมือนนกแตกรัง ทั้งตั้งวงปิกนิกกินข้าวด้วยกันตรงย่านเซ็นทรัลหรือจงหว่านบนเกาะฮ่องกง บางครั้งก็เป็นเวรของจี้ไจ๋ต้องไปดูแลความสงบเรียบร้อยบริเวณแถวนั้น พอมีผู้คนมากก็ทำให้การจราจรบนท้องถนนไม่ลื่นไหล บางคราวก็ติดเป็นแถวยาว ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้กลุ่มคนลงไปเพ่นพ่านบนท้องถนน อาจเกิดอุบัติเหตุได้

จี้ไจ๋เกิดอยู่ในย่านซัมสุยโป๋ว ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวอย่างย่านจิมซาจุ๋ยและถนนนาธาน ตอนเด็กๆ จะอ้วนจ้ำม้ำน่ารัก ใครเห็นก็ชื่นชอบและอยากเข้าไปอุ้ม เด็กสมบูรณ์ก็ไม่เคยงอแง ยอมให้คนแปลกหน้าอุ้มไปกอดและเล่นด้วย พ่อจึงตั้งชื่อว่าจี้ไจ๋ ซึ่งแปลว่าลูกหมูอ้วน พ่อเป็นคนขยันขันแข็ง ตั้งร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ริมฟุตปาธ เอาสูตรแต้จิ๋วมาผสมผสานกับกวางตุ้ง แม่เป็นลูกมือช่วยพ่อ ก๋วยเตี๋ยวขายดี เป็นที่รู้จักของผู้คนแถวนั้น เที่ยงๆ จะมีลูกค้ามาฝากท้องกันเนืองแน่น ราคาย่อมเยาอย่างชาวบ้าน ไม่ได้แพงอย่างแหล่งท่องเที่ยว กินเพียงชามเดียวก็อิ่มท้อง

แรกๆ ยังเช่าห้องแถวนั้นพักอาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ พ่อ-แม่เก็บหอมรอมริบจนมีเงินเป็นกอบเป็นกำ เวลาแม่ไปเที่ยวเมืองไทยไปเยี่ยมยายและญาติพี่น้องเป็นต้องซื้อทองเก็บออมแทนเงิน ด้วยเล็งการณ์ไกลว่าการลงทุนเป็นทองคำจะมีค่าทวีคูณขึ้นในวันข้างหน้า

แม่เป็นคนชอบสะสมทองคำ ฝากให้ยายเก็บไว้ที่เมืองไทยด้วยส่วนหนึ่ง

แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ความโชคร้ายมาเคาะถึงหน้าประตู ชายฉการรจ์สามคนบุกรุกเข้าไปในห้องเช่าตอนกลางคืน ในมือถือมีดดาบจี้พ่อ-แม่ไว้ ตอนนั้นจี้ไจ๋ยังเป็นเด็กอายุไม่ถึงเจ็ดขวบ น้องชายอายุเพียงสี่ขวบ พวกนั้นขู่บังคับให้พ่อ-แม่เอาเงินทองทรัพย์สินที่เก็บไว้ออกมาให้หมด ถ้าไม่ทำตามที่เขาต้องการ จะฆ่าทิ้งทั้งครอบครัว เด็กชายกลัวจนตัวสั่นหลบอยู่ข้างหลังแม่ จี้ไจ๋ไม่เคยตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน เคยแต่เห็นในหนัง กลัวจนเยี่ยวราดออกมา พ่อ-แม่จำใจต้องให้เงินทองทรัพย์สินกับพวกโจรกลุ่มนั้นไป

เด็กน้อยมองพ่อ-แม่กอดกันร้องไห้น้ำตานอง เขากับน้องชายร้องไห้กอดแม่แน่น แม่ได้แต่ร่ำร้องว่า

“หมดแล้ว หมดตัวแล้ว ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว” แม่ปล่อยเสียงโฮเหมือนเด็กๆ ไม่อายลูกที่กอดเธอไว้แน่น

“ยังหรอก” พ่อเอ่ยขึ้นพลางโอบแม่ไว้อย่างให้กำลังใจ “เราตัดสินใจเลือกชีวิต พวกเรายังมีลมหายใจที่จะอยู่ต่อไป จะเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ เรายังเคยมาจากศูนย์”

แม่พยักหน้า มือปาดน้ำตาออกไป แต่มันก็ยังไหลไม่หยุด และก็ยังไหลท่วมในใจจนปรี่ล้น

“ต่อจากนี้ไปพวกเราต้องขยันกันให้มากขึ้น ต้องประหยัดกันมากขึ้น สักวันหนึ่งต้องมีห้องของพวกเราเอง ต้องทำให้ได้” พ่อเข้มแข็งและเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัว พอโตแล้วลูกชายจึงได้รู้ว่าพ่อผ่านชีวิตความยากลำบากแสนสาหัสที่บ้านเกิดมาแล้วไม่น้อย แต่พ่อก็สู้ชีวิตและมานะบากบั่น ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา

ตั้งแต่วันนั้นจี้ไจ๋ตั้งใจว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นตำรวจให้ได้ แล้วก็เดินตามความฝันแน่วแน่จนได้สวมเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ดังใจปรารถนา ทั้งยังย้ายออกไปอยู่บ้านของทางการที่เป็นสวัสดิการให้กับข้าราชการ น้องชายพอโตขึ้นก็ยึดอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวตามพ่อ-แม่

แล้วพ่อกับแม่ก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจเช่นกัน โชคดีที่แม่ฝากทองกับยายไว้ส่วนหนึ่ง ทั้งครอบครัวร่วมฝ่าฟันอุปสรรค ตั้งใจขายก๋วยเตี๋ยว ขายดิบขายดี จนจี้ไจ๋โตเป็นหนุ่มวัยรุ่น

พ่อกับแม่ก็ซื้อห้องขนาดสองห้องนอนบนตึกสูงใกล้ตลาดซัมสุยโป๋วจนได้

อากาศอบอ้าวจนเหงื่อซึม เมฆดำทะมึนรวมตัวลอยต่ำเหมือนผู้หญิงตั้งท้องแก่จวนคลอด อีกไม่นานหยาดน้ำฟ้าคงจะเทลงมาในเร็วๆ นี้ บรรยากาศชวนอึดอัด ตำรวจตั้งแถวเรียงหน้าและยังมีกำลังเสริมอยู่ข้างหลังอีกหลายแถว พวกประท้วงพร้อมใจสวมเสื้อสีดำสมัครสมานสามัคคี พลางโห่ร้องเป็นการเรียกขวัญกำลังใจ ขอให้ทุกคนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและอิสระเสรีภาพ

วันนี้จี้ไจ๋ต้องมาสลายม็อบที่ย่านซัมสุยโป๋ว เขาจ้องมองเพื่อนรักที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อีกฝ่ายยืนประจันแถวหน้าอย่างไม่กลัวเกรงการปราบปราม ในมือบางคนถือแท่งเหล็กยาว บางคนถือท่อนไม้ จี้ไจ๋พยายามส่งสายตาบอกให้เพื่อนสนิทหลบไปข้างหลัง หากเกิดเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องปะทะตะลุมบอน เพื่อนจะได้ไม่บาดเจ็บหรือเจ็บตัว

สิวหล่องเพื่อนของจี้ไจ๋ก็มองมาเหมือนกัน อยากให้เพื่อนสลับตำแหน่งกับตำรวจคนอื่น

ทั้งสองเป็นเพื่อนที่รักกันมากๆ คบกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เติบโตมาด้วยกันในย่านซัมสุยโป๋ว พ่อตั้งชื่อเล่นให้ลูกชายว่า สิวหล่ง ซึ่งมีความหมายว่ามังกรน้อย พ่อค้าแม่ขายในตลาดรู้จักครอบครัวของทั้งสองดี ชอบพูดหยอกล้อว่า คนหนึ่งเป็นลูกหมูอ้วน แต่ก็ผอมแห้งแรงน้อย อีกคนเป็นมังกรน้อย สงสัยข้างในกางเกงคงเป็นเจ้าจู๋น้อย

พ่อของสิวหล่งเป็นคนขับรถเมล์เล็ก จนวันหนึ่งความโชคดีมาเยือนครอบครัวของเขา พ่อได้งานประจำที่ดีกว่า ไปเป็นคนขับรถประจำของนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่ำรวยมหาศาล แล้วยังคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการหุ้น พ่อของสิวหล่งทำงานด้วยความซื่อสัตย์และทำงานดีจนเจ้านายไว้วางใจ บ่อยครั้งที่ได้ยินการสั่งซื้อหุ้น เขาเอาเงินที่สะสมออกมาทยอยซื้อหุ้นตามเจ้านายอย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก แล้วก็ได้กำไรสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ห้องที่อยู่แถวซัมสุยโป๋วไม่แออัดยัดเยียดเกินไปเหรอ” เจ้านายเอ่ยขึ้นในวันหนึ่งที่กำไรจากการขายหุ้นมากมาย

“ก็พออยู่ได้ครับ” เขาพูดจานอบน้อมอย่างลูกจ้างกับนายจ้าง

“เอ็งก็อยู่กับเรามาหลายปี ทำงานไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ สักวันก็ต้องแยกกันไป จะให้ห้องชุดที่สร้างขึ้นใหม่แถวๆ เช็งอี เห็นวิวทะเล มันอาจจะไกลจากในเมืองไปสักหน่อย แต่ไม่พลุกพล่านจอแจ อากาศก็ดีและบริสุทธิ์กว่าแถวตลาดที่เอ็งอยู่”

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในของขวัญที่ได้จากเจ้านาย พ่อของสิวหล่งยังมีเงินเหลือพอไปซื้อห้องชุดอีกสอง-สามแห่ง แรกๆ จะขายห้องเล็กๆ ที่ซัมสุยโป๋วไป แต่ลูกชายไม่ยอมและร้องไห้บอกพ่อว่าจะไม่ยอมย้ายไปที่อื่น เขาอยากอยู่เล่นกับจี้ไจ๋และเพื่อนคนอื่นๆ พ่อจึงต้องทำตามที่ลูกชายอ้อนวอนขอร้องไว้

ตำรวจยังยืนคุมเชิงฝ่ายประท้วงที่ไม่มีทีท่าจะล่าถอย ทั้งที่ประกาศให้สลายการชุมนุม แต่ก็ไม่เป็นผล กลุ่มเสื้อดำยังไม่ละความพยายาม ไม่ย่อท้อต่อคำประกาศของทางการ ทันใดนั้นฝ่ายประท้วงก็ขว้างระเบิดเพลิงไปตกเบื้องหน้าตำรวจส่งควันขาวม้วนลอยตัวไปทั่วก่อนที่จะวิ่งเข้าประจัญบานตะลุมบอนกับคนในเครื่องแบบ ห้ำหั่นตีกันหัวแตกเลือดอาบทั้งสองฝ่าย

จนตำรวจต้องชักปืนออกมาขู่

แล้วฝนก็ตกลงมาส่งเสียงดังเปาะแปะก่อนที่จะตกหนักขึ้นๆ ช่วยคลายอากาศอบอ้าวให้เย็นขึ้นมา เสื้อผ้าเนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยสายฝนที่โปรยปรายลงมาเม็ดใหญ่ๆ และหนาแน่น ทั้งสองฝ่ายต่างชุลมุนปะทะกันท่ามกลางสายฝนที่กลบเสียงกรีดร้องเพราะบาดเจ็บ บางคนเลือดแดงอาบหน้าไหลปะปนกับน้ำฝน

เสียงตำรวจนายหนึ่งชี้ให้ทุกคนตามจับหนุ่มวัยรุ่นตัวแสบ ตำรวจหลายนายพุ่งไปที่เป้าหมาย จี้ไจ๋ไม่อยากทำอย่างนั้นเลย หากจับได้หนุ่มคนนั้นต้องถูกจับเข้าคุก เขานึกถึงปีก่อนที่เกาะฮ่องกงต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นรุนแรง พัดจนผู้คนหกล้ม เขาอยากให้ไต้ฝุ่นกลับมาโหมพัดกระหน่ำแยกการปะทะครั้งนี้ให้จบลง

หนุ่มคนนั้นถูกตำรวจจับได้ เขาดิ้นรนนอนกลิ้งอยู่บนท้องถนน ขณะที่ตำรวจพุ่งเป้าไปอีกหลายคน จี้ไจ๋วิ่งไปทางสิวหล่งเพื่อนรักทันที ไม่อย่างนั้นมังกรน้อยคงไม่รอดพ้นมือตำรวจไปได้

“กวนอู” จี้ไจ๋ร้องบอกเพื่อนเป็นภาษาไทยแข่งกับเสียงฝนสาด

สิวหล่งวิ่งอย่างเร็วหลบเข้าซอยเล็กๆ โดยมีจี้ไจ๋ตามไปติดๆ เป็นคำที่รู้กันเพียงสองคน เขาใช้เหมือนเป็นรหัสลับ คือให้ไปเจอกันที่ศาลเจ้ากวนอูในย่านซัมสุยโป๋ว คนฮ่องกงจะเรียกชื่อศาลเจ้านี้ว่ากว๊านไต่หมิว ตั้งแต่เด็กแล้วทั้งสองมักไปพบกันในศาลเจ้ากวนอู

จี้ไจ๋ชะลอฝีเท้าลงเมื่อลับตาเพื่อนตำรวจ ปล่อยให้เพื่อนรักวิ่งหายไปข้างหน้า หากไม่ทำเช่นนี้ สิวหล่งอาจถูกจับตัวได้ และต้องถูกกักขังอยู่ในคุก เขาไม่อยากให้เพื่อนตกอยู่ในสภาพนักโทษ เพราะตอนนี้ในเรือนจำมีแต่พวกประท้วงที่เป็นเด็กวัยรุ่นเต็มไปหมด

เขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแรกๆ ตอนที่คนฮ่องกงลุกฮือขึ้นมาชุมนุมประท้วง เพราะไม่พอใจที่ทางการออกกฎหมายบางฉบับ แล้วก็บานปลายเป็นการเดินขบวนเรียกร้อง มีคนโบกธงชาติอเมริกา ซึ่งจี้ไจ๋ไม่เห็นด้วย เขาเคยพูดคุยกับสิวหล่งที่ไปร่วมก่อการกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาล มังกรน้อยเถียงขึ้นทันที

“มึงเป็นตำรวจก็ต้องพูดอย่างนี้ เพราะมึงทำงานให้รัฐบาล กูเป็นคนฮ่องกง” เขาขยักคำพูดบางส่วนไว้ ไม่ต้องการพูดให้หมด แต่จี้ไจ๋ก็พอจะตีความได้

เจ้าหมูอ้วนหรือจี้ไจ๋อ่านบทความที่คนต่างชาติเขียนถึงฮ่องกง นักวิชาการหรือนักวิเคราะห์ช่างเปรียบเปรยว่า คนฮ่องกงเป็นลูกกำพร้า มีแม่แท้ๆ คือประเทศจีน แต่ก็ไม่ได้เลี้ยงดู เพราะอังกฤษได้เช่าฮ่องกงนานเกือบร้อยปี จึงรับหน้าที่เป็นแม่บุญธรรม คนฮ่องกงไม่เคยมีสามัญสำนึกว่าเป็นคนจีน วันหนึ่งที่แม่บุญธรรมต้องผละจากไป ลูกๆ จึงรู้สึกโดดเดี่ยว และต้องกลับสู่อ้อมกอดของแม่ผู้ให้กำเนิด คนรุ่นใหม่หนุ่มสาวไม่ยอมรับความเป็นไป ก่อนหน้าที่จะกลับไปอยู่กับจีน คนมั่งมีเศรษฐีคนรวยก็หนีไปอยู่ต่างประเทศ อย่างแคนาดา อเมริกาแล้วส่วนหนึ่ง เพราะไม่แน่ใจว่าสักวันหนึ่งที่จีนเข้ามาปกครองฮ่องกงในระบบคอมมิวนิสต์ บ้านช่องทรัพย์สินจะต้องตกเป็นของทางการ

“เมื่อถึงตอนนั้น อาจไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้” เจ้าหมูอ้วนคุยกับมังกรน้อย

“ต้องรอให้ถึงวันนั้นก่อนเหรอ ไม่มีวันยอม” น้ำเสียงอีกฝ่ายเข้มขึ้นทันที

จี้ไจ๋รู้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของคนฮ่องกงไม่ได้ง่ายดาย โดยเฉพาะคนรากหญ้าหาเช้ากินค่ำต้องปากกัดตีนถีบสู้เพื่อให้อยู่รอดไปวันๆ ค่าครองชีพก็แพง คนฮ่องกงมากมายที่ไม่มีบ้านหรือห้องของตัวเอง ต้องเช่าอยู่ เขาสลดใจที่มีนักข่าวถ่ายรูปคนยากจนต้องนอนในเนื้อที่แคบๆ เหมือนห้องกรงหมา นั่นก็เป็นเรื่องจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้ แม้คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่จะทำงานหนักเพียงใดก็ไม่อาจจะซื้อห้องหรือบ้านได้ ราคาอสังหาริมทรัยพ์ของฮ่องกงจัดว่าแพงที่สุดในโลก

ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะพวกเศรษฐีเก็งกำไรและปั่นราคาจนสูงลิ่วเหมือนอยู่บนฟ้า ยากที่จะเอื้อมถึงได้ง่ายๆ

ยามค่ำคืนดึกดื่นตามท้องถนนหนทางมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ เขาไม่รู้จะรีบกลับห้องเร็วเพื่ออะไร เพราะที่พักมีเนื้อที่จำกัดจำเขี่ย จี้ไจ๋นึกเห็นใจคนระดับล่างไม่มีทางออกที่ดีไปกว่านี้ อยู่ไปวันๆ อย่างไม่มีความหวัง แม้คนที่มีบ้านช่องอยู่ก็ใช่ว่าจะสะดวกสบาย ตอนเด็กๆ พ่อ-แม่ของสิวหล่งจะพาลูกไปให้ปู่-ย่าเห็นหน้าด้วยความคิดถึงหลานชาย ก็ต้องนัดออกไปกินติ่มซำและหยำฉ่าในตอนเช้า บ้านช่องคับแคบเกินกว่าจะไปพบกัน จึงไปหากันในร้านอาหาร กินข้าวจิบน้ำชาคุยกันก่อนจะแยกย้ายจากไป

ความแตกร้าวหรือร้าวฉานที่กำลังเกิดขึ้นในฮ่องกงทำให้เจ้าหมูน้อยนึกถึงประเทศไทยบ้านเมืองของแม่และยายเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเป็นข่าวทุกวันที่คนไทยทะเลาะกันหนักหน่วง นานวันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ทางการออกข่าวให้คนหลีกเลี่ยงไปประเทศไทย เขาอดเป็นห่วงยายไม่ได้ โทรศัพท์ไปคุยกับยายและน้าๆ อยู่หลายครั้ง ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับประเทศของตัวเองบ้าง

ตำรวจหนุ่มรู้ว่าคนฮ่องกงรุ่นใหม่ไม่มีสามัญสำนึกเป็นคนจีน พวกเขาไม่ชอบคนจีน ทั้งยังดูแคลนและเหยียดคนมาเก๊าที่เคยอยู่ใต้การปกครองของโปรตุเกสอีกด้วย ช่วงที่มีการประท้วงจนวุ่นวาย ก็ยังข้ามไปมาเก๊า เพื่อปลุกระดมให้คนมาเก๊าก่อหวอดร่วมประท้วงต่อต้านด้วย แต่เขาไม่เห็นดีเห็นงามด้วย ไม่คล้อยตามความคิดของกลุ่มประท้วง ตำรวจที่นั่นถึงกับจะจับและตั้งข้อหาผิดกฎหมาย ตอนนั้นเจ้ามังกรน้อยหรือสิวหล่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“จะช่วยให้รู้จักเสรีภาพและปลดปล่อยจากโซ่ตรวนก็ยังไม่เอา”

“เขาก็มีจุดยืนของเขา มีความพอเพียงและพอใจในสิ่งที่มีอยู่” จี้ไจ๋เอ่ยขึ้น

“ก็แน่ละสิ พวกนั้นสบายกว่าพวกเรานี่ ไม่ต้องมาดิ้นรนอย่างพวกเราในตอนนี้ วันหนึ่งถ้าคนมาเก๊าไม่อยากเป็นคนจีน ก็มีสัญชาติโปรตุเกสรองรับ ลูกหลานที่เกิดมาก็ได้สัญชาติอัตโนมัติ แล้วพวกเราล่ะอ้ายหมูน้อย” น้ำเสียงของเพื่อนคับแค้นและขมขื่นใจเหลือทน

คนฮ่องกงรุ่นใหม่ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันคือไม่อยากเป็นคนจีน แต่อังกฤษก็ไม่ได้ให้สัญชาติอังกฤษกับคนฮ่องกง จึงเหมือนเด็กกำพร้าที่ถูกทิ้งไว้บนเกาะที่แม่บุญธรรมหรือแม่นมสร้างเนรมิตให้สวยหรู แล้วเด็กกำพร้าก็กำลังทำลายเกาะที่อาศัยอยู่นั้น มีคนเห็นต่างและไม่เห็นด้วยไม่น้อย แม้กระทั่งลุงที่เฝ้าศาลเจ้าพูดกับจี้ไจ๋ว่า

“ตั้งแต่โตมายังไม่เคยเห็นสภาพฮ่องกงอย่างในวันนี้ เอาระเบิดขวดปาใส่ตำรวจ ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ อย่างสถานีรถไฟใต้ดิน ใช้เหล็กทุบ ใช้ไฟเผา พวกนั้นกำลังทำลายประเทศชาติของตัวเอง เศรษฐกิจพังพินาศ โรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้า เจ้าของบางคนนั่งเครียดและร้องไห้ นักท่องเที่ยวลูกค้าหายหมด” ลุงเฝ้าศาลเจ้าพูดแล้วถอนหายใจยาว “แปลกที่เด็กรุ่นใหม่ไม่อยากเป็นคนจีน แต่ก็ยังพูดภาษาจีน กินอาหารจีน”

สิวหล่งวิ่งหายเข้าไปศาลเจ้ากวนอูแล้ว จี้ไจ๋รู้สึกโล่งใจ ลุงเฝ้าศาลเจ้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขารู้จักเจ้าหมูอ้วนและมังกรน้อยเป็นอย่างดี รักและเอ็นดูทั้งสองคน

“ไม่ต้องห่วงเจ้ามังกรน้อย เอ็งรีบกลับไปก่อนเถอะ แล้วระวังตัวด้วยนะ” น้ำเสียงของลุงเฝ้าศาลเจ้าเป็นห่วง

“ลุงฝากบอกอ้ายมังกรน้อยด้วย คนเราไม่ได้จะโชคดีทุกครั้งไป ผมไม่อยากเห็นเขาถูกจับ”

จี้ไจ๋เดินย้อนกลับไปทางเก่า ในใจคิดถึงเกาะฮ่องกงที่กำลังถูกทำลาย นึกถึงคนร่วมชาติอีกมากมาย นึกถึงเพื่อนรัก แม้จะอยู่กันคนละข้างคนละฝ่าย แต่ก็ไม่อาจบั่นทอนมิตรภาพของเขาลงได้ ต่างเชื่อมั่นในความเป็นเพื่อนของกันและกัน

ความสุขของคนฮ่องกงจางหายไปแล้ว อีกนานไหมหนอจะกลับคืนมา จี้ไจ๋ถามตัวเองและอยากตะโกนถามทุกคนบนเกาะแห่งนั้นที่เหมือนกำลังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ….และจมลงๆ