“เบนซ์”เปิดตัวรุ่นประกอบในประเทศ! “E-Class” 3รุ่น 3อารมณ์ สปอร์ตก็ได้ หรูก็ดี!

สันติ จิรพรพนิต

สมกับที่แฟนานุแฟน “ดาวสามแฉก” รอคอย เมื่อ “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ยอดรถจากเยอรมนี อวดโฉม “อี-คลาส” (E-Class) เจเนอเรชั่นที่ 10 รุ่นประกอบในประเทศ

งานนี้จัดมาให้ 3 รุ่นย่อย แต่งต่างกับที่ชุดแต่งและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ เรียกว่ามาให้เลือกทั้งความหรู หรืออารมณ์สปอร์ต ที่สำคัญด้วยเป็นรุ่นประกอบในประเทศทำให้ราคาน่าสนใจมากขึ้น

“อี-คลาส” เป็นรถตระกูลเบนซ์รุ่นแรกๆ ที่ผลิตขึ้นมา มีอายุอานามถึง 82 ปีเข้าไปแล้ว รุ่นแรกผลิตออกมาช่วงปี พ.ศ.2478 แต่ยังไม่ได้ใช้ชื่ออีคลาส แต่เรียกเป็นรหัสตัวถังแทนคือ “W136” และน่าจะเป็นรถที่มีอายุยาวนานที่สุดรุ่นหนึ่งเพราะผลิตและขายนานถึง 20 ปี

เรื่องของเรื่องเพราะหลังเริ่มสายพานการผลิตได้ไม่นาน ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แถมเยอรมนีบ้านเกิดยังแพ้สงครามอีก ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังโชคดี เพราะโรงงานผลิตไม่ได้รับความเสียหาย จึงเริ่มเดินสายพานผลิตใหม่ และ “W136” เป็นรถธงที่ช่วยให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนั้นมาได้

จากนั้นเริ่มมีรถเจนฯ ต่างๆ ตามมา แต่ยังใช้ชื่อเรียกด้วยรหัสตัวถังเป็นหลัก จนเข้าปี พ.ศ.2527 ที่เริ่มเปลี่ยนการจ่ายน้ำมันจาก “คาร์บูเรเตอร์” เป็น “หัวฉีด” จึงเริ่มเรียกชื่อว่า “อี-คลาส” โดย “E” มาจากตัวอักษรแรกของคำว่า “เครื่องยนต์หัวฉีด” (Einspritzmotor) ในภาษาเยอรมัน

“อี-คลาส” ประสบความสำเร็จด้านยอดขายทั่วโลก เพราะเป็นรถหรูขนาดใหญ่กำลังเหมาะไม่เว่อร์วังหรือราคาสูงเท่าเอสคลาส แต่ขับแล้วก็ดูดีมีระดับ โดยเฉพาะเศรษฐีเมืองไทยชอบกันมาก เพราะใครที่ขับรถเบนซ์จะเป็นเครื่องแสดงฐานะว่าไม่ธรรมดา!

Mercedes-Benz E220 d Avantgarde

ในช่วงหลังๆ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จะทำตลาดในลักษณะเมื่อเปิดตัวรถใหม่ในต่างประเทศ จะนำเข้ามาทันทีเพื่อสู้กับกลุ่ม “เกรย์มาร์เก็ต” หรือผู้นำเข้ารถอิสระ หลังจากปล่อยให้ผู้นำเข้ากวาดยอดขายไปจำนวนมาก ก่อนที่เบนซ์จะเริ่มผลิตขายเองในประเทศ

เพื่อให้คนที่อยากได้และพร้อมสู้ราคาได้เลือกตัดสินใจ และจากนั้นสักพักค่อยขึ้นสายพานการผลิตในประเทศในราคาที่ถูกลง

ส่วน “อี-คลาส” เจนฯ ล่าสุดนี้ ถือเป็นเบนซ์รุ่นแรกที่อวดโฉมในปี 2560 โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ค่ายดาวสามแฉกเปิดตัวรถใหม่ รถไมเนอร์เชนจ์ถี่ยิบแทบจะเดือนละรุ่น หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เนื่องจากนำรถเซ็กเมนต์ใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น เช่น กลุ่มเอสยูวี หรือรถสปอร์ต 2-4 ประตู

แต่ตัวขายจริงๆ ยังไม่พ้นกลุ่มเก๋งเล็ก-กลาง อย่างซี-คลาส และอี-คลาส

อี-คลาส เจนฯ ล่าสุดแบ่งการออกแบบและตกแต่งเป็น 3 รุ่นย่อยคือ The E 220 d Avantgarde, The E 220 d Exclusive ดูหรูหรา และ The E 220 d AMG Dynamic ให้อารมณ์ปสอร์ต

Mercedes-Benz E220 d Avantgarde

ดีไซน์ภายนอกมีขนาดตัวถังและฐานล้อที่ยาวและกว้างขึ้น ฝากระโปรงหน้าที่ดูยาว เส้นสายของส่วนหลังคาออกแบบในสไตล์รถคูเป้ ทอดตัวเป็นเส้นโค้งยาวจรดด้านหลังของตัวรถ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในช่วงหลังๆ ของเบนซ์ ซุ้มล้อหลังออกแบบให้ดูกว้างกว่าซุ้มล้อหน้า

The E 220 d Avantgarde มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance สำหรับรุ่น The E 220 d Exclusive และ The E 220 d AMG Dynamic มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED

พร้อมระบบส่องสว่างอัจฉริยะ, ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย, ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง, ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ

Mercedes-Benz E220 d Avantgarde

The E 220 d AMG Dynamic เพิ่มเติมความพิเศษด้วยล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตจาก AMG สำนักแต่งเลื่องชื่อของค่าย แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว หลังคาพาโนรามิกซันรูฟเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า

กันชนหน้า-หลัง และสเกิร์ตข้างดีไซน์สปอร์ตแบบ AMG ดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์เบรกหน้า

Mercedes-Benz E220 d Avantgarde

ภายในห้องโดยสารผสมผสานสไตล์สปอร์ตเข้ากับเทคโนโลยีอัจฉริยะ เบาะนั่งออกแบบตามหลักการสรีระศาสตร์ที่เน้นเรื่องความรู้สึกสบายสำหรับการเดินทางไกล ที่นั่งตอนหลังสามารถพับลงแบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ

Mercedes-Benz E220 d Exclusive

รุ่น The E 220 d Avantgarde และ The E 220 d Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa

ส่วนThe E 220 d AMG Dynamic เบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa

ชุดหน้าจอความละเอียดสูงและหน้าจอดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว จำนวน 2 จอ เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในห้องโดยสาร

โดยหน้าจอทั้งสองจะอยู่ติดกันและมีลักษณะลอยตัวแบ่งการแสดงผลเป็น 2 ส่วน คือแผงหน้าปัดสำหรับแสดงมาตรวัดต่างๆ แบบ Wide screen ขนาดใหญ่ ผู้ขับขี่มองเห็นได้ชัดเจน อีกส่วนหนึ่งจะเป็นหน้าจอ “อินโฟเทนเมนต์”

ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบของแผงหน้าปัดได้ 3 แบบ ตามความชอบส่วนตัว ได้แก่ แบบคลาสสิค แบบสปอร์ต และแบบ Progressive เป็นครั้งแรกของรถยนต์ในเซ็กเมนต์นี้ที่ติดตั้งจอดังกล่าว

นอกจากนี้ The E 220 d AMG Dynamic มาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display)

ทั้ง 3 รุ่นติดตั้งด้วยระบบแผนที่นำทางและระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับได้ถึง 64 สี

Mercedes-Benz E220 d AMG-Dynamic

ทั้ง 3 รุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์ดีเซลพัฒนาใหม่แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ความจุ 1,950 ซีซี กำลังสูงสุด 194 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที ถือว่ามาแบบจัดหนักที่รอบต้นๆ

ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่เช่นกัน

ความเร็วสูงสุดจัดไปที่ 240 ก.ม./ช.ม.

มิติตัวถังกำลังเหมาะอยู่ที่ (กว้าง x ยาว x สูง) 1,852 x 4,923 x 1,468 ม.ม.

ระบบความปลอดภัยไม่เสียชื่อยอดรถจากแดนไส้กรอกอยู่แล้ว ปกป้องทั้งก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียว

อาทิ ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร, ถุงลมนิรภัยบริเวณหัวเข่าผู้ขับขี่, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า, ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ป้องกันศีรษะ 4 ตำแหน่ง สำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

Mercedes-Benz E220 d Exclusive

โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ, ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS, ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชั่น HOLD และ Hill-start Assist, ไฟเบรกกะพริบอัตโนมัติเมื่อเบรกฉุกเฉิน, ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ, ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ, ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ และระบบเตือนแรงดันยาง ฯลฯ

ด้วยเป็นรถที่ผลิตในประเทศจึงทำราคาได้น่าสนใจ โดยราคาถูกกว่ารุ่นนำเข้าหลายแสนบาท

The E 220 d Avantgarde ราคา 3,390,000 บาท

The E 220 d Exclusive ราคา 3,690,000 บาท

และ The E 220 d AMG Dynamic ราคา 3,990,000 บาท

Mercedes-Benz E220 d AMG Dynamic
Mercedes-Benz E220 d AMG Dynamic
Mercedes-Benz E220 d AMG Dynamic
Mercedes-Benz E220 d AMG Dynamic
Mercedes-Benz E220 d AMG Dynamic