วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร/ จากหลินซูห์ มาถึง เหมยฉางซู (19)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

จากหลินซูห์ มาถึง เหมยฉางซู (19)

 

การถกแถลงระหว่างเหมยฉางซูกับจิ่งหวัง กระทั่งลงเอยด้วยเดิมพันที่ว่าจะหาทางช่วยให้ถิงเซิงหลุดพ้นออกจากโรงเรือนไพร่ถือว่าดุเดือดเข้มข้นอย่างยิ่งแล้ว

การถกแถลงระหว่างเหมยฉางซูกับเหมิงจื้อยิ่งน่าติดตาม

หลังเหมิงจื้อแจกแจงข้อเด่นข้อด้อยอันมีอยู่ในตัวจิ้งหวัง ประสานเข้ากับความมุ่งมั่นของรัชทายาทและอวี้หวังต่อราชบัลลังก์

เหมยฉางซูเปิด-ปิดฝากาน้ำชาเล่น สีหน้าปราศจากอารมณ์

“ไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมแล้วจะเป็นไร มิใช่ยังมีข้าหรอกหรือ งานที่สกปรกแปดเปื้อนคาวเลือดก็ให้เป็นหน้าที่ของข้า เพื่อโค่นล้มคนที่ก่อกรรมทำชั่ว ต่อให้ข้าต้องเอามีดปักอกผู้บริสุทธิ์ก็ยินดีกระทำ แม้ว่าข้าจะเสียใจเช่นกัน

แต่เมื่อคนผู้หนึ่งเคยทุกข์ทรมานจนทะลุขีดจำกัดสูงสุด ความเสียใจระดับนี้ยังคงสามารถกล้ำกลืนได้”

คำพูดแม้เหี้ยมโหดแต่กลับแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้าและเจ็บช้ำซึ่งไม่อาจปกปิดชนิดหนึ่ง

เหมิงจื้อมองใบหน้าเขาแน่วนิ่ง จู่ๆ ความรู้สึกปวดร้าวยากทานทนก็ผุดขึ้นมากลางใจระลอกแล้วระลอกเล่า

นี่คือลักษณะ “สมารมณ์” ระหว่างเหมิงจื้อกับเหมยฉางซู

 

“ไห่เยี่ยน” ดำเนินเรื่องตามสำนวนแปลลีหลี่หลินออกมาว่า ครึ่งค่อนวันเหมิงจื้อค่อยถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง

“แล้วจิ้งหวังยอมรับปากหรือไม่”

“ทำไมจะไม่ยอมเล่า ความเกลียดชังที่เขามีต่อรัชทายาทและอวี้หวังไม่น้อยไปกว่าข้า ยิ่งกว่านั้นยังมีตำแหน่งจักรพรรดิรอคอยอยู่เบื้องหน้าอีกด้วย พลานุภาพดึงดูดของตำแหน่งจักรพรรดิช่างยิ่งใหญ่มหาศาล มีไม่กี่คนหรอกที่สามารถต้านทานได้

“แม้แต่จิ่งเหยียนก็เช่นกัน”

“นี่เป็นไปไม่ได้” เหมิงจื้อตบโต๊ะฉาด “เขาเกลียดชังการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หรือท่านเกิดมาก็ชื่นชอบแล้ว จิ้งหวังเปลี่ยนเป็นคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน หรือเขาไม่รู้จักเป็นห่วงท่านบ้าง”

“พี่เหมิง” เหมยฉางซูยิ้มชืด

“ท่านลืมแล้วหรือ จิ้งเหยียนไม่รู้ว่าเป็นข้า ข้าได้ตายไปแล้ว ข้าได้กลายเป็นรอยแผลกรีดลึกในใจเขาไปแล้ว คนที่บีบคั้นและล่อลวงให้เขาเหยียบย่างสู่เส้นทางการช่วงชิงบัลลังก์ก็แค่คนแปลกหน้าที่ชื่อซูเจ๋อคนหนึ่งเท่านั้น จะมีอะไรต้องเป็นห่วง”

“อาห์” เหมิงจื้ออุทานคำหนึ่ง

“จริงด้วย เขาไม่รู้ แต่วันนี้พวกท่านไม่ใช่พบหน้ากันแล้วหรือ ท่านไม่ได้บอกเขาหรือ และเขาก็จำท่านไม่ได้หรือ”

ตรงนี้ต่างหากที่สำคัญ

 

“เพราะอะไรต้องบอกเขา” ใบหน้าเหมยฉางซูขาวซีดปานหิมะ แววตาเยือกเย็นถึงที่สุด “ไม่ว่าจะเคยเป็นสหายที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาสักปานใด คนที่หลุดขึ้นมาจากนรกอเวจีล้วนเปลี่ยนเป็นปีศาจร้ายทั้งนั้น

“ไม่เพียงเขาจำจดข้าไม่ได้ แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังจำตัวเองไม่ได้”

เหมิงจื้อมองดูเหมยฉางซู 2 มือกำแน่นจนข้อนิ้วโปนขาว หวังเพียงขจัดความรู้สึกรวดร้าวประหนึ่งทรงอกถูกฉีกขาดออกจากกัน

นึกถึงภาพตอนที่เหมยฉางซูอายุ 17 ปี

รอยยิ้มเจิดจ้า สว่างไสวบนใบหน้าแดงซ่านปานผลผิงกั่ว (แอปเปิล) ในยามที่แยกจากกัน 12 ปี ผ่านไปดั่งสายน้ำ

หวนนึกถึงอดีตกลับคล้ายเป็นชาติปางก่อน

“ใช่” เหมิงจื้อยอมรับ “ถ้าท่านไม่ติดต่อข้ามาเกรงว่าข้าก็คงจำท่านไม่ได้ตลอดกาล” พูดพลางทอดตาดูข้อมือเหมยฉางซู

ทั้งเล็กและซูบซีด

พอจินตนาการได้ว่า กว่าที่เขาจะทุรนทุรายเอาชีวิตรอดมาได้ต้องผ่านความทุกข์ยากและขื่นขมปานใด

“ท่านรับปากข้า ห้ามบอกจิ้งเหยียนเด็ดขาด” เหมยฉางซูทอดมองนอกหน้าต่าง แววตาพร่าเลือนเวิ้งว้าง

ตรงนี้ก็ยิ่งสำคัญ

“คู่หูที่น่ารักมีชีวิตชีวาซึ่งเติบโตมากับเขาคนนั้น กับนักวางแผนที่ลงมือกระทำโดยไม่เลือกวิธีการ ทั้งโหดเหี้ยมอำมหิตซึ่งอยู่ข้างกายเขาคนนี้ไม่มีวันเป็นคนคนเดียวกันได้ชั่วนิจนิรันดร์ เช่นนี้ไยมิใช่ยิ่งประเสริฐ”

“เสี่ยวซูห์”

 

พลันที่เหมิงจื้อหลุดคำว่า “เสี่ยวซูห์” ออกมา ความนัยเร้นลึกอันตรึงอยู่ภายในของเหมยฉางซูก็ระเบิดออกมา

“คนทั้งเมืองหลวงที่รู้ว่าหลินซูห์กลับมามีเพียงท่าน หรืออาจมีเสด็จย่าทวดอีกคนหนึ่งกระมัง ข้าไม่ต้องการให้ปรากฏคนที่ 3 อีก

พี่เหมิง รบกวนท่านแล้ว”