686 องค์กร ออกแถลงการณ์ 6 ข้อ จี้รัฐแบน 3 สารเคมี

เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง 686 องค์กร ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลและคณะกรรมการวัตถุอันตรายแบนพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ภายในธันวาคม 2562 ทั้งนี้ข้อความระบุว่า ตามที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะมีการประชุมของคณะกรรมการเพื่อพิจารณายกเลิกและจำกัดการใช้วัตถุอันตราย ในวันที่ 22 ตุลาคม 2562 โดยคณะทำงานเพื่อพิจารณาความคิดเห็นจาก 4 ฝ่าย ได้แก่ หน่วยงานของรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกร และผู้บริโภค ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ได้มีมติอย่างเป็นเอกฉันท์ (9 ต่อ 0) ให้ปรับพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สรุปข้อมูลและนำเสนอต่อกรรมการวัตถุอันตรายแล้วนั้น

เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เกิดจากการรวมตัวกันของภาคประชาชนจำนวน 686 องค์กร เพื่อสนับสนุนข้อเสนอและมติของหลายหน่วยงาน ได้แก่ 1.กระทรวงสาธารณสุข 2.คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 3.สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ 4.คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข 5.คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6.ผู้ตรวจการแผ่นดิน 7.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 8.สภาเกษตรกรแห่งชาติ 9.สภาเภสัชกรรม 10.แพทยสภา 11.ชมรมแพทย์ชนบท 12.ชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน 13. เครือข่ายประชาคมวิชาการของอาจารย์หลายคณะ หลายมหาวิทยาลัย 14.เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และ 15.องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ให้มีการแบนพาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ภายในธันวาคม 2562 เพื่อให้การพิจารณาควบคุมสารพิษดังกล่าวเป็นไปอย่างโปร่งใส ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน และคำนึงถึงสุขภาพของเกษตรกรและประชาชนเป็นสำคัญ เครือข่ายฯจึงเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้มีการดำเนินการ ดังนี้

1.ให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายแสดงการมีส่วนได้เสียตามมาตรา 12 วรรค 2 ของ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535

2.ให้คณะกรรมการพิจารณาปรับพาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ตามข้อเสนอของคณะทำงานเพื่อพิจารณาความคิดเห็นของส่วนรัฐ ผู้นำเข้า เกษตรกรและผู้บริโภคต่อการยกเลิกคลอร์ไพริฟอส พาราควอต และไกลโฟเซต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหลายหน่วยงานข้างต้น

3.ให้คณะกรรมการลงมติแบบเปิดเผยพร้อมข้อวินิจฉัยส่วนบุคคล และเผยแพร่ต่อประชาชนและสื่อมวลชนทราบ

4.ให้รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการจัดทำมาตรการสนับสนุนให้เกษตรกร 455,786 ราย ชนิด (คิดเป็น 6.69 % ของครัวเรือนเกษตรกรทั้งประเทศ) ที่แจ้งความจำนงและสอบผ่านเกณฑ์การใช้สารพิษ ๓  ชนิด ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปสู่การปลูกพืชที่ไม่ต้องพึ่งพาสารพิษร้ายแรง โดยใช้วิธีกล เครื่องจักรกลการเกษตร การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชแบบผสมผสาน วิธีชีวภาพอื่นๆ หรือในกรณีจำเป็นก็อาจใช้สารทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

5.ในระยะยาวให้รัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีมาตรการสนับสนุนเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ต้นทุนสูง แต่เกษตรกรขายได้ในราคาต่ำ ไปสู่เกษตรกรรมยั่งยืนรูปแบบต่างๆ

6.ให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ตามระดับความเป็นอันตรายเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงจากผลกระทบภายนอก (pesticide externalities) ที่มีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องสูญเสียไปกับการรักษาสุขภาพและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม โดยนำภาษีที่เก็บได้ไปใช้ในการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อใช้ในการจัดการวัชพืชและศัตรูพืชที่ปลอดภัยกับสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนเกษตรกรรายย่อย รวมทั้งเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

ทั้งนี้หากผลการพิจารณาตัดสินใจของคณะกรรมการวัตถุอันตรายเป็นไปอย่างล่าช้า หรือมีการตัดสินใจที่ไม่ยึดหลักการปกป้องสุขภาพของประชาชน เครือข่ายจะยกระดับการเคลื่อนไหวร่วมกับประชาชนในทุกภาคส่วน โดยใช้เครื่องมือตามกฎหมาย การรณรงค์ไม่ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการ  การไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่สนับสนุนการใช้สารพิษร้ายแรง ตลอดจนการเคลื่อนไหวอื่นๆที่เหมาะสม จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายข้างต้น