ภาพยนตร์ นพมาส แววหงส์ / ABOMINABLE “มนุษย์หิมะที่น่ารัก”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

ABOMINABLE “มนุษย์หิมะที่น่ารัก”

กำกับการแสดง Jill Culton และ Todd Wilderman

เสียงพากย์ Chloe Bennet

Albert Tsai Tenzing Norgay Trainor Joseph Izzo Eddie Izzard Sarah Paulson

ค่ายหนังดรีมเวิร์กส์จับมือกับค่ายหนังเพิร์ลของจีน

สองยักษ์ใหญ่จากสองโลกร่วมกันทำหนังแอนิเมชั่นเรื่องใหม่ออกฉายอยู่ขณะนี้

นับศตวรรษมาแล้วที่คติพื้นบ้านแถบเทือกเขาหิมาลัย ของชาวพื้นเมืองทิเบต เนปาลหรือภูฏาน เชื่อกันว่ามีสัตว์ร้ายขนรุงรังขาวโพลนเหมือนลิงยักษ์หรือหมีตัวโตที่เรียกว่า “เยติ”

ชาวตะวันตกที่พยายามพิชิตขุนเขาเอเวอเรสต์ เพื่อก้าวขึ้นไปเหยียบจุดสูงสุดของพื้นโลก เป็นผู้ช่วยเผยแพร่ตำนานของเยติให้แพร่หลายไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นจากภาพถ่ายรอยตีนของสัตว์ประหลาด หรือแม้แต่หนังหัวที่ว่ากันว่าถลกมาจากสัตว์ชนิดนี้ ซึ่งนำไปตั้งแสดงเป็นข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่เซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี ชาวนิวซีแลนด์พิชิตชัยยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก พร้อมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นชื่อ เทนซิง นอร์เกย์

สัตว์ในเรื่องเล่าขานปรัมปราชนิดนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “มนุษย์หิมะที่น่าเกลียดน่ากลัว” หรือ abominable snowman

แรกทีเดียวหนังการ์ตูนเรื่องนี้มีชื่อว่า Everest

แต่ผู้สร้างคงกลัวจะทำให้เข้าใจไขว้เขวไปว่าเป็นหนังสารคดีเกี่ยวกับยอดเขาที่สูงสุดในประเทศที่ได้รับขนานนามว่า “หลังคาของโลก” เลยเปลี่ยนมาใช้ชื่อเรียกอีกชื่อแบบย่นย่อ

แต่ให้ความหมายตรงข้ามแบบคอนทราสต์ในความรู้สึกกับสัตว์น้อยตัวโตที่พลัดที่นาคาที่อยู่มานี้

Abominable เป็นเรื่องเกี่ยวกับลูกเยติ ซึ่งแม้จะเป็นเยติเด็กน้อยก็ยังมีขนาดมหึมาและพละกำลังมหาศาลพอดู

เยติตัวนี้ถูกจับมาคุมขังโดยกลุ่มนายทุนผู้มั่งคั่งเพื่อทำการทดลองและวางแผนจะนำออกแสดงต่อสายตาสาธารณชน เพื่อพิสูจน์ให้โลกประจักษ์ว่าตำนานเป็นเรื่องจริง

หนังเริ่มที่สถาบันวิจัยล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ที่มหาเศรษฐีเบอร์นิช (เสียงโดยเอ็ดดี้ อิซซาร์ด) ลงทุนไว้ ที่นี่มีนักวิจัยหลักที่ทำการทดลองกับสัตว์ประหลาดหายากในโลกคือ ดร.ซารา (เสียงโดยซาราห์ พอลสัน)

สัตว์ตัวสำคัญในสถาบันวิจัยแห่งนี้ คือเยติ ซึ่งเป็นความคาดหวังและความภาคภูมิใจยิ่งของมหาเศรษฐีผู้ชอบสะสมของแปลกและอยากนำออกสร้างความตื่นตะลึงแก่สายตาชาวโลก

เกิดเหตุใหญ่ที่เป็นรูรั่วในระบบรักษาความปลอดภัย ทำให้เยติหลุดหนีออกไปเพ่นพ่านหลบหนีการจับกุมอยู่กลางมหานครเซี่ยงไฮ้อันมีตึกรามสูงลิ่วเสียดฟ้าเป็นภูมิทัศน์อยู่เบื้องหลัง

และให้เผอิญเยติตัวนี้มาหลบภัยอยู่บนหลังคาในอาคารที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์ของครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่ง

หนูน้อยยี (เสียงของโคลอี เบนเนต) เป็นเด็กสาวที่เพิ่งสูญเสียพ่อไป

ยีอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์กับแม่และยาย และหมกมุ่นอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง โดยมุมานะรับจ้างทำงานสารพัดสารพันตัวเป็นเกลียว ทั้งรับจ้างจูงหมาไปเดินออกกำลัง รวมทั้งงานจิปาถะทุกอย่าง เพื่อเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง

นั่นคือเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่พ่อผู้จากไปวางแผนจะพาเธอไป

ยีมีเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นมรดกจากพ่อและเป็นความผูกพันคะนึงหาพ่ออยู่มิรู้วาย

เธอสีไวโอลินได้อย่างเก่งกาจและเพราะพริ้ง แต่ก็หยิบไวโอลินขึ้นมาสีเฉพาะในยามอยู่คนเดียวเท่านั้น

คืนหนึ่งยีได้พบสัตว์ประหลาดมานอนซุกหลบภัยอยู่บนหลังคาตึก ขณะที่มีทีมงานเต็มพิกัดของบริษัทเบอร์นิชออกติดตามค้นหา ด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่ส่องไฟกราดบินหาไปทั่วเมือง

ยีพบมาสัตว์ประหลาดตัวนี้บาดเจ็บและหวาดกลัว เธอจึงให้ความช่วยเหลือทั้งการรักษาแผลและหาอาหารเลี้ยงดู

ซึ่งการนี้ทำให้คุณยายของยีปลื้มใจเป็นพิเศษที่ดูเหมือนหลานสาวจะสวาปามซาลาเปาไส้หมูที่คุณยายนึ่งเอามาตั้งโต๊ะ วางไว้เผลอแพล็บเดียวก็หมด นึ่งเท่าไหร่ๆ ก็ดูหลานจะกินไม่พอ

สัตว์ประหลาดตัวนี้เฝ้ามองแต่บิลบอร์ดที่เป็นป้ายโฆษณาการท่องเที่ยวเป็นภาพภูเขาเอเวอเรสต์ที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลน

ยีจึงตั้งชื่อเพื่อนใหม่ตัวนี้ว่า “เอเวอเรสต์”

และตั้งปณิธานจะพาเอเวอเรสต์กลับคืนสู่บ้านของตัวเอง สู่อ้อมอกของพ่อแม่

ในท่ามกลางการหนีอย่างหัวซุกหัวซุนของเอเวอเรสต์ ยีมีเพื่อนที่ติดตามไปด้วยอีกสองคน คือเผิง (เสียงของอัลเบิร์ต ไซ) เด็กน้อยตัวอ้วนกลม กับพี่ชายชื่อจิน (เสียงของเทนซิง นอร์เกย์ เทรเนอร์) หนุ่มวัยรุ่นเจ้าสำอาง ที่ตกกระไดพลอยโจนร่วมทางมาด้วย

ที่น่าสนใจอยู่นิดตรงนี้คือ นักแสดงที่มาร่วมเล่นบทของคนเดินทางไปสู่ยอดเอเวอเรสต์ ข้อมูลบอกว่า เป็นเรื่องบังเอิญอันประจวบเหมาะที่เทนซิง นอร์เกย์ เทรเนอร์ ผู้ให้เสียงของจิน เป็นหลานปู่ของเทนซิง นอร์เกย์ พรานหรือมัคคุเทศก์ชาวเชอร์ปาที่นำทางเซอร์เอ็ดมันด์ ฮิลลารี ไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก

นี่เป็นหนังเกี่ยวกับการเดินทางอันมหัศจรรย์

ระหว่างทาง เพื่อนๆ ของเอเวอเรสต์ได้พบอำนาจวิเศษในตัวเอเวอเรสต์ และอำนาจวิเศษที่เสียงดนตรีและความรักสามารถสรรค์สร้างได้

ซึ่งนี่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของหนังการ์ตูนเรื่องนี้ ที่ให้ภาพงดงามชวนตื่นตะลึงของทิวทัศน์ในธรรมชาติและสิ่งเหนือธรรมชาติ

ในยามท้องหิว เอเวอเรสต์สามารถดลบันดาลให้ลูกบลูเบอร์รี่งอกงามและเติบโตในความหมายตรงตามตัวอักษร

กลายเป็นการผจญภัยในดินแดนบลูเบอร์รี่สีม่วงสวย อันสนุกสนานและน่าตื่นเต้น

ภาพทิวทัศน์สวยๆ ที่เสกสรรค์ขึ้นด้วยมนตรา ยังมีอีกมาก อาทิ ดอกแดนดิไลออน ซึ่งเป็นดอกหญ้าชนิดหนึ่ง ขยายขนาดและปลิวไปตามลม กลายเป็นเหมือนร่มชูชีพที่พาคณะพลพรรคล่องลอยให้พ้นภัยที่กำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า

และภาพที่ตรึงตราอีกภาพคือ องค์พระพุทธรูปขนาดมหึมาที่เลอชาน ในมณฑลเสฉวน

เป็นสถานที่อีกแห่งที่น่าไปชมที่สุดในบรรดามรดกโลกทั้งหลาย

องค์พระพุทธรูปสูง 71 เมตร (ประมาณเท่ากับตึกสูงกว่ายี่สิบชั้น) ประทับอิงอยู่กับภูเขา เป็นองค์พระศรีอริยเมตตรัย ซึ่งสร้างในสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อระหว่าง ค.ศ.713-803 ถือเป็นพระพุทธรูปก่อนยุคสมัยใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เห็นแล้วกระตุ้นต่อมอยากไปเที่ยวเสฉาวนเพื่อชมสถานที่จริงเลยเชียวล่ะ

โดยเฉพาะเมื่อหนังสรรค์สร้างมนตราให้เกิดแก่สถานที่แห่งนี้ด้วยเสียงไวโอลินเพราะพริ้ง ปลุกธรรมชาติให้ตื่นขึ้นและเบ่งบาน มวลมาลีชูช่อบานสะพรั่ง เติมแต่งความงามชวนพิศวงให้แก่พุทธสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

อีกฉากที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมของมนุษย์กับธรรมชาติ คือ ฉากสะพานแขวนสูงลิ่วที่เชื่อมสู่ยอดเขาขาวโพลนหนาวเย็น ก่อนจะไปถึงยอดเอเวอเรสต์

เป็นหนังการ์ตูนที่ดูแล้วชื่นใจค่ะ แม้ว่าบทและตัวละครจะดาดดื่นไปเป็นสูตรสำเร็จไปหน่อย การสร้างตัวละครและวางพล็อตก็ยังไม่ค่อยละเอียดรอบคอบและแน่นพอ

อย่างเช่น การที่หนูยีหายหน้าออกจากบ้านไปดื้อๆ โดยไม่ร่ำไม่ลา และทำท่าจะหายไปพักใหญ่เสียด้วยจากการเดินทางไปสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์แบบไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวสู้อากาศหนาวเสียด้วย แต่พอกลับบ้านแม่กับยายก็ดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร

ยังมีความแปลกแปร่งอีกหลายจุด โดยเฉพาะในการสร้างตัวละครผู้ร้าย

แต่ถ้าดูจากภาพสวยๆ และการผจญภัยในสถานที่แปลกๆ ก็ทำให้เพลิดเพลินกับหนังไปได้พอควรค่ะ