ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์ /AD ASTRA ‘สู่ดวงดาว’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

AD ASTRA

‘สู่ดวงดาว’

 

กำกับการแสดง James Gray

นำแสดง Brad Pitt Tommy Lee Jones Donald Sutherland Ruth Negger Liv Tyler

 

‘Per aspera ad astra’ เป็นภาษิตของสถาบันหลายแห่งทั่วโลก โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาและองค์กรที่ตั้งความหวังอันสูงส่งโดยวางจุดหมายยิ่งใหญ่ไว้เป็นภารกิจประจำใจของคนในองค์กร

วลีนี้เป็นภาษาละติน แปลเป็นความว่า “ฝ่าความยากลำบากไปสู่ดวงดาว”

ดังนั้น ชื่อหนังที่ตัดทอนมาจากวลีนี้จึงแปลง่ายๆ ว่า “สู่ดวงดาว”

อันหมายถึงการทะยานเหินสู่ฟากฟ้าไปในห้วงอวกาศเพื่อไปให้ถึงดวงดาวดวงอื่นๆ ในจักรวาล

 

หนังเริ่มด้วยการกำหนดห้วงเวลาของท้องเรื่องไว้ “ในอนาคตอันใกล้…”

น่าจะเป็นอีกหลายร้อยปีจากปัจจุบัน แต่คงไม่เกินไปจากนั้น เพราะมิฉะนั้นก็จะกลายเป็น “อนาคตอันไกลโพ้น…” ไป

ณ กาลเวลานั้น มนุษย์ไปตั้งอาณานิคมไว้บนดวงจันทร์ และดาวอังคารแล้ว และยังคงส่งยานไปสำรวจอวกาศที่ไกลออกไปเรื่อยๆ

เท่าที่ผ่านมา ดาวเคราะห์ที่เคยส่งยานไปสำรวจไกลที่สุดในสุริยจักรวาล คือดาวเนปจูน ในโครงการที่ชื่อ “โครงการลิมา” ซึ่งถือเป็นความล้มเหลว เพราะยานขาดการติดต่อและสูญหายไปเมื่อสามสิบปีก่อนหน้า

ผู้บังคับบัญชาในภารกิจนั้นชื่อ เอช. คลิฟฟอร์ด แม็กไบรด์ (ทอมมี่ ลี โจนส์) กลายเป็นวีรบุรุษผู้สาบสูญสำหรับชาวโลก

คลิฟฟอร์ดมีลูกชายคือ รอย แม็กไบรด์ (แบรด พิตต์) ซึ่งคือพระเอกของเราในหนังเรื่องนี้ เจริญรอยตามพ่อโดยการเป็นนักบินอวกาศผู้เก่งกาจคนหนึ่ง

 

หนังเปิดเรื่องด้วยฉากตราตรึงของการปฏิบัติงานในหน้าที่ของรอย โดยขึ้นไปอยู่บนหอคอยสูงลิ่วเสียดฟ้าทะลุบรรยากาศของโลกขึ้นไป เพื่อเป็นเสาอากาศส่งสัญญาณการติดต่อกับห้วงอวกาศ

ระหว่างการทำงานบนหอสูงลิบลิ่วนั้น เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากห้วงอวกาศ ซึ่งแผ่รังสีคอสมิกออกทั่วระบบสุริยะ ส่งผลต่อพลังงานไฟฟ้าทั่วโลก ไฟดับไปชั่วครู่และรอยในชุดอวกาศร่วงหล่นจากหอคอยละลิ่วลงสู่พื้นโลกที่ไกลเกินกว่าจะมองเห็นด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านั้นมีคนในชุดอวกาศร่วงลงผ่านตัวรอยไปอย่างชวนสยดสยองมาแล้ว

ฉากการดิ่งพสุธานี้ชวนระทึกใจมาก รอยต้องควบคุมความตระหนกตกใจและความกลัวไว้ และพยายามรักษาสติให้มั่นจากอาการวิงเวียน เพื่อไม่ให้หมดสติไปในระหว่างนั้นจนต้องพุ่งโหม่งโลกแหลกเละอย่างไม่มีทางเลี่ยง

และเขาก็ทำได้อย่างปลอดภัย ด้วยการดึงสายร่มชูชีพออกในจังหวะที่พอดีกับเวลา

ชุดอวกาศออกแบบให้มีการประเมินสภาพร่างกายตลอดเวลา และผลของการประเมินสุขภาพจิตภายหลังการปฏิบัติงาน บอกว่า รอย แม็กไบรด์เป็นมนุษย์ที่ควบคุมสถานการณ์ได้เยี่ยมยอดที่สุดคนหนึ่ง

เพราะชีพจรและการเต้นของหัวใจของเขาไม่เคยเกิน 80 ครั้งต่อนาที ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ชวนตระหนกและเสี่ยงภัยขนาดไหน คนทั่วไปในสถานการณ์แบบนั้นชีพจรอาจพุ่งขึ้นทะลุเป้าจนเส้นเลือดแตกตายไปได้ง่ายๆ

แต่รอยยังคงเยือกเย็นสงบอยู่ได้ในภาวะคับขันที่สุดครั้งหนึ่ง

 

ในสภาพความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจนี้ รอยได้รับการติดต่อให้ปฏิบัติการลับชิ้นหนึ่ง

หลังจากสามสิบปีที่เชื่อมาตลอดว่าพ่อผู้เป็นหัวหน้าโครงการลิมาเพื่อสำรวจหาสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญานอกโลกสูญหายตายจากไปแล้วในห้วงอวกาศขณะปฏิบัติงาน รอยได้รับการบอกเล่าว่ามีหลักฐานพอให้เชื่อว่าพ่อเขาอาจยังมีชีวิตอยู่และอาจเป็นต้นเหตุของการแผ่รังสีคอสมิกที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนบนโลก ดังที่รอยเองก็เพิ่งประสบมากับตัวเองด้วยการร่วงจากหอคอยลงสู่พื้นโลก

และรอยเป็นคนเดียวที่จะสามารถติดต่อกับคลิฟฟอร์ดให้ตอบสนองได้

ถ้าสามารถกำหนดพิกัดของคลิฟฟอร์ดได้ ก็จะสามารถส่งยานอวกาศไปสู่เนปจูนเพื่อจัดการแก้ปัญหาของรังสีคอสมิกนี้ได้

ด้วยความพยายามรักษาความลับของปฏิบัติการครั้งนี้ รอยได้รับการส่งตัวไปกับยานพาณิชย์ร่วมกับผู้โดยสารนักท่องเที่ยวอื่นๆ ไปสู่ดวงจันทร์

เราจึงได้เห็นภาพอาณานิคมของโลกบนดวงจันทร์ว่ามีแฟรนไชส์อาหารไปเปิดบริการอยู่ที่สถานีขนส่งใต้ดินด้วย…

ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเที่ยวกันทำไม ในเมื่อไม่สามารถออกไปสูดอากาศของดาวบริวารของโลกได้เลย

 

จากดวงจันทร์ รอยถูกส่งไปกับยานอวกาศสู่ดาวอังคารซึ่งมนุษย์โลกไปก่อตั้งอาณานิคมใต้ดินไว้เหมือนกัน

ระหว่างทางไปดาวอังคาร ยานอวกาศตอบสนองต่อสัญญาณขอความช่วยเหลือของยานลำอื่น และได้พบกับเหตุการณ์สยดสยองที่ตามต่อเนื่องกันมา

และเมื่อรอยไปถึงดาวอังคาร เขาก็ได้ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมา นั่นคือทำการติดต่อกับพ่อที่เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่

แต่หลังจากการติดต่อที่ดูเหมือนมีสัญญาณตอบกลับมานี้ รอยกลับประเมินสภาพจิตไม่ผ่าน และถูกกันออกจากการเดินทางไปกับยานที่จะไปสู่เนปจูน

ทว่า เมื่อเขามาไกลขนาดนี้ ไกลขนาดที่ใกล้จะได้เจอหน้าพ่ออีกครั้งหลังจากสามสิบปีของการเป็นลูกกำพร้า รอยจึงหาทางพาตัวไปกับยานลำนั้นจนได้

จะทำอย่างไร ทำสำเร็จไหม ก็เชิญเดาต่อไป หรือไม่ก็ไปดูหนังเสียเลยนะคะ

 

ที่แน่ๆ คือรอยได้เจอพ่อของเขา และได้พบความจริงบางอย่าง

นี่ไม่ใช่หนังไซไฟแอ๊กชั่นที่น่าตื่นเต้นนะคะ แต่เรื่องราวหนักไปในเชิงปรัชญาอยู่มาก

เป็นการแสวงหาผู้ให้กำเนิดที่ปัจจุบันละทิ้งเราไปไหนก็ไม่รู้

พูดในเชิงปรัชญาคือการแสวงหาผู้สร้าง หรือพระเจ้า ที่สร้างโลกไว้แล้วก็ทิ้งไป เพื่อไปหาโลกอื่นๆ เพื่อสร้างใหม่ต่อไป

นี่เป็นการเดินทางของรอยเพื่อตามหาผู้ให้กำเนิด เพื่อหาคำตอบว่าทำไมเขาจึงได้ทิ้งไป

การเดินทางนี้ทะยานเหินออกไปนอกโลกในห้วงอวกาศ เพื่อมองกลับสู่แก่นสารของความเป็นมนุษย์ในจิตใจของตัวเราเอง

นี่เป็นหนังของแบรด พิตต์ แทบจะล้วนๆ ตัวละครอื่นเป็นตัวประกอบที่มีบทคนละเล็กคนละน้อย แม้แต่ทอมมี่ ลี โจนส์ ก็มีเพียงไม่กี่ฉาก

นอกจากนั้น ก็มีโดนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์ ซึ่งทำท่าว่าจะมีบทบาทสำคัญ แต่ก็ปรากฏตัวอยู่นิดเดียว และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอยู่กับโครงการจนไม่เหมาะจะร่วมอยู่ในโครงการนี้ต่อไปได้

อีกคนที่สำคัญในชีวิตของรอยคือ อีฟ (ลิฟ ไทเลอร์) ซึ่งเดินจากเขาไปเพราะความหมกมุ่นอยู่กับตัวเองของรอย จนไม่สามารถมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัวได้

จวบจนเมื่อรอยได้ค้นพบความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตมนุษย์

 

สําหรับคนดูที่ต้องการความตื่นเต้นของแอ๊กชั่นในอวกาศอาจรู้สึกเคว้งคว้างงุนงงกับหนังเรื่องนี้เมื่อถึงตอนจบ

แต่ถ้าดูลึกลงไปถึงความหมายอีกชั้นภายใต้พื้นผิวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็จะรู้สึกในความหมายที่กว้างไกลไปกว่าความหมายพื้นผิวของสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้น

นั่นคือความหมายเชิงปรัชญาของความเป็นมนุษย์และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน

ปีนี้แบรด พิตต์ ได้บทที่แสดงความสามารถยอดเยี่ยมตามต่อมาติดๆ สองเรื่อง หลังจาก Once Upon a Time in Hollywood ที่ยากจะลืมเลือนในแบบที่เป็นเพื่อนตายของพระเอก แล้วก็มาถึงบทที่แทบจะเป็นโซโลเรื่องนี้แหละ

Ad Astra ทำให้นึกถึง 2001 : A Space Odyssey หนังคลาสสิกของสแตนลีย์ คูบริก ที่เล่าเรื่องซ้อนกันหลายชั้น และกินความหมายมากกว่าเหตุการณ์ที่เห็นเฉพาะหน้า

แต่ถ้าดูแบบเถรตรงซื่อๆ ก็อาจไม่รู้สึกถึงความหมายที่โยงใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด

ผู้เขียนชอบหนังที่มีความคิดค่ะ เลยชอบหนังเรื่องนี้มาก นี่ยังไม่พูดถึงภาพสวยๆ ของการเดินทางอยู่ในห้วงอวกาศ แบบที่ในชีวิตจริงคงไม่มีโอกาสได้ไป

นึกขอบคุณศิลปะของภาพยนตร์ทุกครั้งที่สร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตแบบที่ไม่ต้องไปใช้ชีวิตแบบนั้นด้วยตัวเอง