บรรลือฤทธิ์ / ฉบับประจำวันที่ 20-26 กันยายน 2562

ถือเป็นเรื่องโด่งดัง เลื่องลือ สมวลี บรรลือ “ฤทธิ์” จริงๆ
สำหรับบทบาทของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” พระเอกจิตอาสา
ที่สร้างปรากฏการณ์ระดมเงินบริจาคลงพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วม ได้ทะลุกว่า 300 ล้านบาท ภายใน 4 วัน
และนำเงินไปแจกชาวบ้านที่ประสบภัย ครอบครัวละ 5,000 บาท
แม้ “บิณฑ์” ย้ำว่าสิ่งที่ทำ ไม่ได้ข้ามหน้าข้ามตารัฐบาล
แต่สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจดังกล่าว กลับสร้างผลสะเทือนทางการเมือง โดยเฉพาะต่อรัฐบาลอย่างรุนแรง
ทั้งที่น้ำท่วมอุบลราชธานี รัฐบาลก็ได้ลงแรงไปแก้ไขไม่น้อย
แต่พอเอาเข้าจริง กลับเป็นไปอย่างที่ “บิณฑ์” เล่าความรู้สึก
“พอไปเห็นมันจุกอกครับ”
“นายกฯ ท่านมอบเงินให้ชาวบ้านไปช้อปปิ้งกันเพื่อให้เศรษฐกิจประเทศไทยดี ผมก็บอก ถ้าให้ไปช้อปปิ้ง 1,000 บาท ก็น่าจะเอามาให้ทางอุบลฯ ด้วย แจกคนละ 1,000 น่าจะดี เท่านั้นเอง ไม่ได้ว่าอะไร อยากจะให้มาดูแลพี่น้องที่อุบลฯ ด้วย ประมาณนั้นครับ”

การคิดง่ายๆ ซื่อๆของบิณฑ์ กลับกลายเป็น “มวลน้ำมหึมา” ซัดโถมใส่ “เรือเหล็ก” จนแทบจะประคองตัวเองไม่อยู่
เฉพาะหน้า รัฐบาลต้องแก้เกมด้วยการจัดงาน “ร่วมใจพี่น้องไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” เมื่อวันที่ 17 กันยายน ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ช่อง 9
เพื่อเปิดประตูอีกประตู รับเงินบริจาค
แต่ก็ไม่วายถูกวิจารณ์อีกว่า ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว
แถมยังเกิดกระแสข่าวลือที่ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล
ว่ามีความพยายามดึงเอาสิ่งที่บิณฑ์ทำ มาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล
ร้อนถึงนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาดับกระแส ว่าไม่เป็นความจริง

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เองก็พยายามแสวงหาจุดร่วมตรงนี้ ด้วยการกล่าวขอบคุณบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่เข้าไปช่วยกันทำงาน
“มันทำให้ผมมีความสุขที่ทุกคนได้มีส่วนร่วมทำงานกับรัฐบาล” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่กระแส “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” เพิ่มก่อตัวขึ้น
ดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์จะมีท่าทีที่ไม่ใช่เช่นนี้
โดยแสดงอาการหงุดหงิดกับฝ่ายที่มุ่งไปยังเรื่องการแจกเงิน
“เห็นหน้ากันก็จะขอแต่เงิน และร้องเรียนว่าเงินไม่ถึงมือโดยตรง ไม่ว่าผมจะไปไหนก็มีแต่คนขอเงิน”
“ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนประเทศด้วยตัวของเราเอง ด้วยภายใต้กฎหมาย ไม่ใช่เอากฎหมายมาขัดแย้งกันตลอดเวลา รัฐธรรมนูญบ้าง กฎหมายบ้าง โซเชียลบ้าง แล้วมาโจมตีกันอยู่ในสภา มันไม่ถูกต้อง ประเทศเดินหน้าไม่ได้ ตีกันอยู่ไม่กี่เรื่อง มันน่ารำคาญ ยังไงก็ต้องทำต่ออยู่แล้ว ผมไม่อยู่แล้วใครจะอยู่”
“ใครอยู่ ไปดูรัฐธรรมนูญให้ดีแล้วกัน จะเอาผมแบบนี้ หรือจะเอาผมแบบก่อน”

ประโยคสุดท้ายนี้ ดูเหมือนจะเป็นไฮไลต์แห่งความหงุดหงิดที่ พล.อ.ประยุทธ์แสดงออกมา
เพราะเหมือนเป็นการขู่กลายๆ ว่า จะเลือกระหว่างที่ตนเองเป็นนายกฯ ที่มาจากกระบวนการเลือกตั้ง
หรือจะกลับเป็นอย่างเดิม คือ นายกฯ จากการรัฐประหารที่มีอำนาจมาตรา 44 อยู่ในมือ
ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ เพราะยังไม่ครบ 3 เดือนแห่งการบริหารของรัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็ต้องเผชิญมรสุมเป็นระลอก
สิ่งที่ไม่ควรจะเป็นประเด็นก็กลายเป็นประเด็น
รวมถึงปรากฏการณ์ “บรรลือฤทธิ์” ด้วย
วันนี้ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ก็ได้กลายเป็นพระเอกนอกจอ ในการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนจากเหตุน้ำท่วมไปแล้ว
ส่วนรัฐบาล ตกอยู่ในภาวะ “ผู้มาทีหลัง”
ทำให้มีผู้หงุดหงิด จน “อกแทบแตก”จาก “ฤทธิ์” ที่บันลือไปไกลของพระเอกที่ชื่อ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์”
—————-