ไพบูลย์ ร้องกกต. เอาผิด ‘ศรีสุวรรณ’ ร้องเท็จปมย้ายพรรค ลั่นไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

ไพบูลย์ร้อง กกต.เอาผิด “ศรีสุวรรณ“ ร้องเท็จปมย้ายพรรค ลั่น ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครองตามที่กล่าวอ้าง พร้อมยกกรณีดังกล่าวเป็นตัวอย่างจัดการกับนักร้องที่หวังดังโดยไม่มีความจริง

เมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อดีตหัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป เข้ายื่นคำร้องต่อประธาน กกต.ขอให้ตรวจสอบนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กรณียื่นให้ กกต.ตรวจสอบการยุบเลิกพรรคประชาชนปฏิรูป และไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มาตรา 92(1) ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองหรือไม่ โดยเห็นว่าการกล่าวหาของนายศรีสุวรรณเป็นความเท็จ ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน จึงเข้าลักษณะเป็นผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลใดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ต่อ กกต.หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยรู้อยู่ว่าเป็นความผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจถูกศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 101 วรรคหนึ่งของกฎหมายพรรคการเมือง

“นอกจากไม่มีมูลความจริง แต่วัตถุประสงค์ในการยื่นต้องการชื่อเสียง ต้องการได้รับความสนใจจากสังคม ทั้งที่เป็นทนาย ควรต้องรู้ข้อกฎหมายอยู่แล้วว่าสิ่งที่มากล่าวหาไม่เป็นความจริง สร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น สร้างภาระให้เจ้าหน้าที่ กกต. เพราะร้องอย่างพร่ำเพรื่อ จึงถึงเวลาแล้วเราต้องตรวจสอบบรรดานักร้องเรียนทั้งหลายให้อยู่ในกรอบความถูกต้องของกฎหมายไม่ใช่ร้องเพื่อหวังดัง ทำให้สังคมเข้าใจผิด ซึ่งนอกจากนายศรีสุวรรณ แล้วยังมีคนอื่นที่ผมจะร้องด้วย“ นายไพบูลย์กล่าว

นายไพบูลย์กล่าวต่อว่า ยืนยันการให้ กกต.ใช้กฎหมายพรรคการเมืองดำเนินการกับนายศรีสุวรรณสามารถทำได้ เพราะนายศรีสุวรรณถือเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งแม้จะเป็นการร้องในนามสมาคม ไม่ใช่พรรคการเมือง พร้อมยืนยันว่าไม่ใช่เฉพาะ กกต. แต่กฎหมาย ป.ป.ช.ก็มีมาตรา 184 ที่ต้องตรวจสอบผู้ที่แจ้งเท็จจริงก็ต้องถูกลงโทษ ตนจึงอยากฝากเตือนโดยเฉพาะนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ที่ไปยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังมีมติเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณของนายกฯไม่ครบถ้วนนั้นไม่ผิด

“ผมเชื่อว่าผู้ที่ร้องโดยสุจริต ทำทุกอย่างโดยสุจริต จะได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย แต่หากมีเจตนาแอบแฝง ซ่อนเร้นก็ควรจะถูกลงโทษ และคิดว่ากฎหมายทั้งสองมาตรานี้สามารถที่จะจัดการกับพวกนักร้องที่ไม่ยึดตามกฎหมายได้” นายไพบูลย์กล่าว